สุทธิธรรม - กอบชัย - ทศ - ปริญญ์
เซ็นทรัลกรุ๊ปเปิดแผนรับเออีซี ปี 56 เทงบกว่า 38,000 ล้าน บาท สยายปีกธุรกิจในเครือฯกระหึ่ม พร้อมวาดฝันแบรนด์ “เซ็นทรัล” ขึ้นเป็นแบรนด์ที่รู้จักอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชียและระดับโลก ทางด้านธุรกิจค้าปลีก
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด นำทัพผู้บริหารบริษัทในเครือฯ อาทิ นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท เซ็นทรัล รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด, นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง เซ็นทรัลมาร์เกตติ้งกรุ๊ป, นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา, นายธีระเดช จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด, นายสุทธิลักษณ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และยุทธศาสตร์และพัฒนาธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล และนายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ CFO ด้านการบริหารการเงินของกลุ่มเซ็นทรัล ร่วมแถลงประจำปีของกลุ่มเซ็นทรัล และแผนปี 2556 AEC Challenge การตั้งรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ปี 2558 ของกลุ่มเซ็นทรัล
โดยนายสุทธิธรรมกล่าวว่า ปี 2556 กลุ่มเซ็นทรัลจะทำตลาดทั้งในเชิงรุกและรับ พร้อมมุ่งขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศเต็มสูบ รวมถึงแสวงหาพันธมิตรควบรวมกิจการมากขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาธุรกิจกับพันธมิตรกว่า 10 รายแล้ว สำหรับการลงทุนในโครงการต่างๆของธุรกิจในเครือฯ บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 38,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่ 3 ของกลุ่มเซ็นทรัลฯ ที่ใช้เม็ดเงินลงทุนมากกว่า 30,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดันธุรกิจโต 24% หรือทำรายได้ทะลุ 227,300 ล้านบาทในสิ้นปี 2556 เป็นการลงทุนในประเทศ 91% ต่างประเทศ 9%
“ธุรกิจสำคัญที่กลุ่มเซ็นทรัลจะยึดเป็นหัวหอกหลักในการขยายธุรกิจยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ภายใต้การดูแลของบริษัทเซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือซีอาร์ซี ซึ่งปีนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนขยายธุรกิจประมาณ 20,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ใช้เงินลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ที่ชู 2 กลุ่มธุรกิจเป็นหัวหอกหลักในการขยายธุรกิจในตลาดอาเซียน เพราะซีอาร์ซีมีการเข้าไปขยายธุรกิจในต่างประเทศบ้างแล้ว เช่น ห้างเซ็นทรัลและห้างเซน จำนวน 3 สาขาในหางโจว เฉินตูและเสิ่นหยาง ประเทศจีน นอกจากนี้ ยังมีห้างรีนาเซนเต ที่เข้าไปซื้อกิจการในประเทศอิตาลี เปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา ในมิลาน และฟลอเรนซ์ และอีก 1 สาขากำลังก่อสร้างในกรุงโรม ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เข้าไปบุกตลาด โดยนำห้างเซ็นทรัล เข้าไปเปิดให้บริการในศูนย์การค้า แกรนด์ อินโดนีเซีย ช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ ที่กรุงจาการ์ตา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการปี 2557”
ขณะที่ซีพีเอ็น แม้ขณะนี้จะยังไม่มีธุรกิจในต่างประเทศเหมือนซีอาร์ซี แต่จากการขยายสาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศด้วยการยึดหัวหาดเจาะแนวตะเข็บชายแดน เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสาขาเชียงราย ที่มุ่งขยายฐานลูกค้าถึงประเทศพม่า ลาว และจีนตอนใต้ สาขาอุดรธานี ที่มุ่งขยายฐานลูกค้าถึงประเทศลาว และสาขาหาดใหญ่ ที่มุ่งขยายฐานลูกค้าถึงประเทศมาเลเซีย
นายสุทธิธรรมกล่าวว่า ผลประกอบการปี 2555 กลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลทั้ง 5 กลุ่ม มียอดขายรวมกันทั้งสิ้น 183,300 ล้านบาท เติบโต 31.3% เป็นการเติบโตของธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ 7.5% และโครงการใหม่ 23.8% โดยกลุ่มธุรกิจค้าปลีก (CRC) มีอัตราการเติบโต 31% กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (CPN) เติบโต 36% กลุ่มธุรกิจค้าส่ง (CMG) เติบโต 30% กลุ่มธุรกิจโรงแรม (CHR) เติบโต 23% และกลุ่มธุรกิจอาหาร (CRG) เติบโต 27%”
ด้านนายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า ซีพีเอ็นจะมุ่งเน้นพัฒนาศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ที่มีศูนย์การค้าเป็นแกนนำต่อเนื่อง พร้อมปรับตัวเข้าสู่ตลาดเสรีในอาเซียนด้วย แต่สิ่งที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาศูนย์การค้า คือ ทำเลที่ตั้ง ซึ่งซีพีเอ็นถือว่าได้เปรียบมาก เพราะเข้าไปจับจองทำเลที่ตั้งตามหัวเมืองใหญ่ๆ ภายในประเทศไว้เกือบครอบคลุมแล้ว อาทิ จ.ลำปาง, อุดรธานี, หาดใหญ่, สุราษฎร์ธานีและเชียงราย เป็นต้น
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท เซ็นทรัล รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี กล่าวว่า การเข้าสู่เออีซี ส่งผลให้เศรษฐกิจอาเซียนมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะตลาดมีจำนวนประชากรมากกว่า 600 ล้านคน จึงไม่แปลกที่ถนนทุกสายจะมุ่งสู่อาเซียน และนักลงทุนจากทั่วโลกส่วนใหญ่ที่มองอาเซียน ณ วันนี้ก็มองที่ “กรุงเทพฯ” เป็นเซ็นเตอร์หรือศูนย์กลางของธุรกิจในภูมิภาคนี้ “ที่มั่นใจว่ากรุงเทพฯหรือประเทศไทย จะเป็นเซ็นเตอร์ของธุรกิจในภูมิภาคนี้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียน เพราะประเทศไทยใหญ่ที่สุด มีศักยภาพที่สุด มีความพร้อมที่สุดและเจริญที่สุดในภูมิภาคนี้”
ขณะที่นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ CFO ด้านการบริหารการเงินของกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า การจากความแข็งแกร่งของแบรนด์เซ็นทรัล ส่งผลให้ขณะนี้มีนักธุรกิจจากหลายประเทศ อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ สนใจเข้ามาขอร่วมทุนกับกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และโครงการค้าปลีกมากขึ้น ล่าสุดญี่ปุ่นก็เข้ามาขอร่วมเป็นพันธมิตรลงทุนในธุรกิจอาหาร เสื้อผ้าและร้านจำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่าง หรือสเปเชียลตี้ สโตร์ด้วย “คาดว่าในแต่ละปีนับจากนี้น่าจะมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดปีละ 20-30% และในอนาคตมั่นใจว่าแบรนด์เซ็นทรัลจะขึ้นเป็นแบรนด์ที่รู้จักอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชียและระดับโลกทางด้านค้าปลีก”.
เซ็นทรัลกรุ๊ปเปิดแผนรับเออีซี ปี 56 เทงบกว่า 38,000 ล้าน บาท สยายปีกธุรกิจในเครือฯกระหึ่ม พร้อมวาดฝันแบรนด์ “เซ็นทรัล” ขึ้นเป็นแบรนด์ที่รู้จักอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชียและระดับโลก ทางด้านธุรกิจค้าปลีก
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด นำทัพผู้บริหารบริษัทในเครือฯ อาทิ นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท เซ็นทรัล รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด, นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง เซ็นทรัลมาร์เกตติ้งกรุ๊ป, นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา, นายธีระเดช จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด, นายสุทธิลักษณ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และยุทธศาสตร์และพัฒนาธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล และนายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ CFO ด้านการบริหารการเงินของกลุ่มเซ็นทรัล ร่วมแถลงประจำปีของกลุ่มเซ็นทรัล และแผนปี 2556 AEC Challenge การตั้งรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ปี 2558 ของกลุ่มเซ็นทรัล
โดยนายสุทธิธรรมกล่าวว่า ปี 2556 กลุ่มเซ็นทรัลจะทำตลาดทั้งในเชิงรุกและรับ พร้อมมุ่งขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศเต็มสูบ รวมถึงแสวงหาพันธมิตรควบรวมกิจการมากขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาธุรกิจกับพันธมิตรกว่า 10 รายแล้ว สำหรับการลงทุนในโครงการต่างๆของธุรกิจในเครือฯ บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 38,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่ 3 ของกลุ่มเซ็นทรัลฯ ที่ใช้เม็ดเงินลงทุนมากกว่า 30,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดันธุรกิจโต 24% หรือทำรายได้ทะลุ 227,300 ล้านบาทในสิ้นปี 2556 เป็นการลงทุนในประเทศ 91% ต่างประเทศ 9%
“ธุรกิจสำคัญที่กลุ่มเซ็นทรัลจะยึดเป็นหัวหอกหลักในการขยายธุรกิจยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ภายใต้การดูแลของบริษัทเซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือซีอาร์ซี ซึ่งปีนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนขยายธุรกิจประมาณ 20,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ใช้เงินลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ที่ชู 2 กลุ่มธุรกิจเป็นหัวหอกหลักในการขยายธุรกิจในตลาดอาเซียน เพราะซีอาร์ซีมีการเข้าไปขยายธุรกิจในต่างประเทศบ้างแล้ว เช่น ห้างเซ็นทรัลและห้างเซน จำนวน 3 สาขาในหางโจว เฉินตูและเสิ่นหยาง ประเทศจีน นอกจากนี้ ยังมีห้างรีนาเซนเต ที่เข้าไปซื้อกิจการในประเทศอิตาลี เปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา ในมิลาน และฟลอเรนซ์ และอีก 1 สาขากำลังก่อสร้างในกรุงโรม ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เข้าไปบุกตลาด โดยนำห้างเซ็นทรัล เข้าไปเปิดให้บริการในศูนย์การค้า แกรนด์ อินโดนีเซีย ช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ ที่กรุงจาการ์ตา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการปี 2557”
ขณะที่ซีพีเอ็น แม้ขณะนี้จะยังไม่มีธุรกิจในต่างประเทศเหมือนซีอาร์ซี แต่จากการขยายสาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศด้วยการยึดหัวหาดเจาะแนวตะเข็บชายแดน เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสาขาเชียงราย ที่มุ่งขยายฐานลูกค้าถึงประเทศพม่า ลาว และจีนตอนใต้ สาขาอุดรธานี ที่มุ่งขยายฐานลูกค้าถึงประเทศลาว และสาขาหาดใหญ่ ที่มุ่งขยายฐานลูกค้าถึงประเทศมาเลเซีย
นายสุทธิธรรมกล่าวว่า ผลประกอบการปี 2555 กลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลทั้ง 5 กลุ่ม มียอดขายรวมกันทั้งสิ้น 183,300 ล้านบาท เติบโต 31.3% เป็นการเติบโตของธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ 7.5% และโครงการใหม่ 23.8% โดยกลุ่มธุรกิจค้าปลีก (CRC) มีอัตราการเติบโต 31% กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (CPN) เติบโต 36% กลุ่มธุรกิจค้าส่ง (CMG) เติบโต 30% กลุ่มธุรกิจโรงแรม (CHR) เติบโต 23% และกลุ่มธุรกิจอาหาร (CRG) เติบโต 27%”
ด้านนายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า ซีพีเอ็นจะมุ่งเน้นพัฒนาศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ที่มีศูนย์การค้าเป็นแกนนำต่อเนื่อง พร้อมปรับตัวเข้าสู่ตลาดเสรีในอาเซียนด้วย แต่สิ่งที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาศูนย์การค้า คือ ทำเลที่ตั้ง ซึ่งซีพีเอ็นถือว่าได้เปรียบมาก เพราะเข้าไปจับจองทำเลที่ตั้งตามหัวเมืองใหญ่ๆ ภายในประเทศไว้เกือบครอบคลุมแล้ว อาทิ จ.ลำปาง, อุดรธานี, หาดใหญ่, สุราษฎร์ธานีและเชียงราย เป็นต้น
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท เซ็นทรัล รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี กล่าวว่า การเข้าสู่เออีซี ส่งผลให้เศรษฐกิจอาเซียนมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะตลาดมีจำนวนประชากรมากกว่า 600 ล้านคน จึงไม่แปลกที่ถนนทุกสายจะมุ่งสู่อาเซียน และนักลงทุนจากทั่วโลกส่วนใหญ่ที่มองอาเซียน ณ วันนี้ก็มองที่ “กรุงเทพฯ” เป็นเซ็นเตอร์หรือศูนย์กลางของธุรกิจในภูมิภาคนี้ “ที่มั่นใจว่ากรุงเทพฯหรือประเทศไทย จะเป็นเซ็นเตอร์ของธุรกิจในภูมิภาคนี้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียน เพราะประเทศไทยใหญ่ที่สุด มีศักยภาพที่สุด มีความพร้อมที่สุดและเจริญที่สุดในภูมิภาคนี้”
ขณะที่นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ CFO ด้านการบริหารการเงินของกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า การจากความแข็งแกร่งของแบรนด์เซ็นทรัล ส่งผลให้ขณะนี้มีนักธุรกิจจากหลายประเทศ อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ สนใจเข้ามาขอร่วมทุนกับกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และโครงการค้าปลีกมากขึ้น ล่าสุดญี่ปุ่นก็เข้ามาขอร่วมเป็นพันธมิตรลงทุนในธุรกิจอาหาร เสื้อผ้าและร้านจำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่าง หรือสเปเชียลตี้ สโตร์ด้วย “คาดว่าในแต่ละปีนับจากนี้น่าจะมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดปีละ 20-30% และในอนาคตมั่นใจว่าแบรนด์เซ็นทรัลจะขึ้นเป็นแบรนด์ที่รู้จักอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชียและระดับโลกทางด้านค้าปลีก”.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น