สำหรับคุณผู้อ่านที่กำลังนึกไม่ออกว่าจะแต่งบ้านหรือห้องของคุณอย่างไรดี วันนี้เรามีคำแนะนำของสไตล์ต่างๆมาช่วยการตัดสินใจของคุณกันค่ะ แต่ละสไตล์ก็มีข้อดีและสวยงามต่างกัน สิ่งสำคัญคือควรเลือกแบบที่คุณชอบจริงๆ และศึกษาเพิ่มเติมว่าสไตล์ต่างๆมีหน้าตาอย่างไร เพื่อคุณจะได้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมหรือแม้กระทั่งครีเอทอะไรที่เป็นตัวคุณเองได้ด้วยค่ะ
แต่งบ้านคลาสสิก สไตล์ Classic Style
เป็นสไตล์ที่ทุกคนน่าจะเคยเห็น รูปแบบของ Classic Style จะมีความหรูหราไม่ได้เน้นการใช้สอยมากนัก เนื่องจากเป็นสไตล์ที่ต้องการความโอ่อ่า จึงเหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่เยอะ และฝ้าเพดานสูง ลักษณะเด่นของการแต่งบ้านแบบ Classic จะเป็นงานไม้ มีการกลึง เซาะร่อง และแกะรายละเอียด มีการย้อมสีไม้ที่เน้นงานประณีต มีการโชว์ลายไม้หรือทำให้ดูเก่าผสมทอง มีการใช้ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่พิมพ์ลายชัดเจนหรือทออย่างประณีต หรือใช้หนังแท้ผสมผสานกับการตอกหมุดทองเหลือง งานพื้นถ้าเป็นหินก็จะใช้หินอ่อนหรือหินแกรนิต มีการใช้ม่านที่จับจีบระบาย หรือกุ๊นด้วยเชือกเกลียวอย่างเข้าชุดกัน
เป็นสไตล์ที่ได้รับความนิยมมานานพอสมควรแล้ว งมีรูปแบบที่เน้นการใช้งาน(Functional) มีความเรียบง่ายแต่ดูเก๋ ใช้เส้นสายขององค์ประกอบและเฟอร์นิเจอร์เป็นแบบกราฟฟิค นำรูปทรงเรขาคณิตสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ทรงกลม มาใช้ การใช้องค์ประกอบที่ดูน้อยเช่นนี้ ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอยู่สบาย ไม่เลี่ยน ไม่ต้องแต่งห้องบ่อยมากนัก สีสันที่ใช้จะเล่นเพียง 2-3 สีเท่านั้น พื้นที่ในบ้านจะไม่มีการปิดกั้นทางสายตา เพราะจะเชื่อมสเปซให้ดูเห็นทั่วกันหมด เกิดความโปร่งโล่งสบาย อาจใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น และเน้นเฉพาะชิ้นที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีสไตล์ที่ต่อยอดมาจาก Modern Style นั่นคือ Post Modern และ Minimal
แต่งบ้านสไตล์ โพสต์ โมเดิร์น Post Modern
คือแนวความคิดที่มาหลังจากยุค Modern และปฏิเสธสิ่งเดิมๆในยุค modern โดยเน้นเสรีภาพและอิสระของบุคคล ไม่เชื่อในโลกของความจริง ไม่เชื่อเรื่องความเป็นสากล เพราะเชื่อว่าแต่ละคนแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีเหตุผลของตัวเอง หลักการโดยทั่วไปของ Post Modern คือการสร้างรูปแบบงานออกแบบใหม่ที่ไม่ใช่ทั้ง Modern และ รูปแบบ Classic แต่กลับเป็นการสร้างลูกผสมระหว่างทั้งสองรูปแบบขึ้นมาดังจะเห็นได้จากผลงานส่วนใหญ่ของรูปแบบนี้จะมีการสร้างชิ้นงานแบบ Modern ที่เรียบง่าย และมีรูปทรงที่โดดเด่น เตะตา แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการอ้างอิงถึงรายละเอียด หรือกลิ่นอายของงาน Classic ไปด้วยในตัว มักจะมีการใช้สีสรรที่สดใส หรือวัสดุที่แปลกใหม่ ตลอดจนรูปทรงที่แปลกตา
ประโยคอมตะที่ว่า Less is More หรือแปลตามตัวคือน้อยแต่มาก นั่นคือการตกแต่งตามความจำเป็นและความเหมาะสม แต่ตอบสนองประโยชน์และวิถีแห่งความสุขได้อย่างสมบูรณ์ งานแบบ Minimal จะมีลักษณะเรียบง่าย มีโทนสี แบบโมโนโทน มีเส้นสายตรงไปตรงมา เน้นลักษณะเด่นของวัสดุแต่ละแบบที่นำมาตกแต่งภายใต้ความเรียบง่ายและสมดุล กันระหว่างสถานที่กับผู้อยู่อาศัย สไตล์ Minimal จะมีลักษณะคล้ายกับสไตล์ Modern แต่ประโยชน์ใช้สอยจะถูกซ่อนอยู่ในรายละเอียด ซึ่งบางครั้งอาจดูไม่รู้ถ้าไม่ได้สัมผัส อีกทั้งยังรู้สึกถึงความผ่อนคลาย (Comfort) โล่งสบาย เหมาะกับผู้ที่คลั่งไคล้ความทันสมัยและบ่งบอกความมีสไตล์
ศิลปะตกแต่งบ้านสไตล์ eclectic Style นิยมกันแพร่หลายเป็นครั้งแรกตามบ้านสมัย Victoria เพราะเป็นยุคที่ผู้คนสามารถเข้าถึงและหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งงานประดิษฐ์ได้จากทั่วทุกมุมโลก แต่เดิมการตกแต่งแนวนี้เป็นการผสมผสานสไตล์ Renaissance และ Gothic ของยุคกลางเข้ากับ French Rococo ซึ่งเป็นแนวโรแมนติก ผลที่ออกมาจึงแลดูยุ่งเหยิง บางครั้งก็กระจุกตัวเป็นกลุ่มๆ ผิดกับการตกแต่งสไตล์ eclectic สมัยใหม่ซึ่งมีความนุ่มนวลและละเอียดอ่อนกว่ามาก เพราะเน้นการใช้ความกลมกลืนของสีและสิ่งสะสมหรือเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ใน theme เดียวกันมาสรรค์สร้างรูปแบบที่แลดูแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า แต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ควรคำนึงคือ การเลือก theme มาเพียง 2-3 theme เท่านั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะดูรกมากเกินไปได้
มิกซ์แอนด์แมท Mix & Match Style เป็นสไตล์ที่หลายๆคนสนใจ เพราะเหมาะกับการตกแต่งที่ไม่ต้องทุ่มทุนมาก ใช้ของที่มีอยู่แล้ว และยังให้ความรู้สึกที่อยู่สบายอีกด้วย แต่ปัญหาคือการเริ่มต้นตกแต่ง คุณอาจเริ่มที่เฟอร์นิเจอร์ตัวโปรดหรือสีโปรดเป็นตัวตั้ง แล้วผสมผสานด้วยองค์ประกอบอื่นๆ Mix and Match Style อาจเป็นการผสมสไตล์เข้าด้วยกันแต่ต้องระวังเรื่องสัดส่วน ควรเน้นสไตล์ใดสไตล์หนึ่งมากกว่า เพื่อให้ดูน่าสนใจสิ่งสำคัญจึงเป็นความกลมกลืน ควรมองพื้น ฝ้า เพดานเป็นภาพรวมเดียวกัน หาจุดร่วมขององค์ประกอบ เพื่อให้ห้องของคุณไม่กลายเป็น Mix แต่ไม่ Match นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น