วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทูตจีนฟันธงก่อนสิ้นปี 56 รถไฟความเร็วสูงไทยเกิดแน่ เตือนไทยต้องตื่นตัว-สามัคคี ก่อนตกขบวน

พิษณุโลก - เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยขึ้นเวทีร่วมเสวนา “CHINA WATCH” ย้ำเป้าหมายจีนทำรถไฟความเร็วสูง 4 สายเปิดทางเชื่อมมหาสมุทร มั่นใจสายเหนือ หรืออีสานเซ็นสัญญาได้ก่อนสิ้นปี 56 นี้แน่ ระบุรถเชียงใหม่-กทม.มีอุโมงค์ 3 จุด “จิ๊บๆ” พร้อมทิ้งท้ายเตือนทุกคนต้องตื่นตัว รถไฟมาทุกอย่างเปลี่ยน ย้ำคนไทยต้องเข้มแข็ง-สามัคคี ก่อนตกขบวน
       
       วันนี้ (4 ก.พ.) มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ได้จัดสัมมนาโครงการ “CHINA WATCH” เรื่องการเติบโตของจีนต่อโอกาสทางเศรษฐกิจของภาคเหนือตอนล่างและภูมิภาค โดยเชิญนายวิบูลย์ คูสกุล เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง, นายกว่าน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย พร้อมกับ ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาฯ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมบรรยายพิเศษถึงวิสัยทัศน์และนโยบายรัฐบาลสำหรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้, ตะวันออก-ตก โดยมี ดร.สุจินต์ จินายน อธิบดี ม.นเรศวร พร้อมผู้ว่าฯ พิษณุโลก ผู้ว่าฯ ตาก, นักธุรกิจ และหัวหน้าส่วนราชการหลายแห่งรวมประมาณ 350 คนร่วมรับฟัง
       
       โดยนายวิบูลย์ คูสกุล เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง บรรยายพิเศษหัวข้อ “การเติบโตของจีนกับโอกาสและความท้าทายต่อไทยและภูมิภาค” มีใจความตอนหนึ่งว่า จีนอยากเห็นการเมืองไทยนิ่ง การวางโครงข่ายคมนาคมถือว่าเป็นโอกาสของไทย เพราะประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของจีนในกลุ่มอาเซียน มูลค่าการค้าเกิดขึ้น 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และตั้งเป้าหมายแสนล้านบาทในปีหน้า
       
       “ทุกวันนี้ผลไม้ไทย ทั้งกล้วย มังคุด ส่งไปขายจีนมากกว่าแอปเปิลจีนที่ส่งมาขายในประเทศไทย”
       

       นายวิบูลย์ระบุอีกว่า ข้อได้เปรียบของไทยคือ จีนตอนใต้ต้องการผ่านไทยสู่อาเซียนลงทะเล สิ่งที่จับตาคือรถไฟความเร็วสูงที่ผ่านพิษณุโลกด้วย ดังนั้นผลไม้ไทยสามารถตีตลาดจีนได้ทันที โดยเฉพาะทุเรียน ส่วนกล้วยไข่( กล้วย-ฮ่องเต้) นั้น ทุกวันนี้ส่งไปขายจีน 6,000 คอนเทนเนอร์ต่อปี นอกจากนี้ยังมีมันสำปะหลัง ยางพารา ถือเป็นโอกาสของเกษตรกรไทย และจะทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามา 2.5 ล้านคนจะเพิ่มเป็น 3 ล้านคนต่อปี
       
       ขณะที่นายกว่าน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย บรรยายเรื่อง “บทบาทของจีนต่อโครงการเชื่อมโยงในภูมิภาคและความร่วมมือทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง” ว่า อยากให้ความสัมพันธ์ไทย-จีนแน่นเฟ้น โดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่างมีส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อระบบลอจิสติกส์
       
       นายกว่าน มู่ กล่าวอีกว่า 30 ปีที่ผ่านมาจีนลำบากมาก โดยตนต้องใช้คูปองซื้อข้าว หมู สบู่ แม้กระทั่งไม้ขีดไฟ กระทั่งท่านเติ้ง เสี่ยวผิงบอกว่า หากเป็นเช่นนี้จีนลำบากแน่ จึงใช้นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ “สามก้าวใหม่” ส่วนนโยบายต่างประเทศเดินตามแนวทาง “สันติ ร่วมมือ พัฒนา” ส่วนนโยบายเพื่อนบ้านก็คือ “ปรองดอง มั่นคง มั่งคั่ง”
       
       “หลายปีก่อนชนชาติฝรั่งมองว่าจีนไม่เป็นประชาธิปไตย ผมถามว่าแก่นแท้ประชาธิปไตยคืออะไรก็ไม่มีใครตอบได้ แต่คนจีนมองว่าเป้าหมายสูงสุดคือประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ มีความอยู่ดีกินดี ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความยากจน หากรัฐบาลจีนไม่พัฒนา ก็แก้ไขไม่ได้เลย ดังนั้นจำเป็นต้องเปิดประเทศ”
       
       เอกอักรราชทูตจีนประจำประเทศไทยกล่าวอีกว่า เราผลิตเพื่อแลกเงินตรา ไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่น เพราะคนจีน 1,300 ล้านคนต้องเลี้ยงตัวเอง ไม่สามารถพึ่งประเทศใดได้ เป้าหมายของจีนคือโรงงาน 200 แห่งต้องมีชื่อเสียงระดับโลก อาหารต้องเก็บต่อเนื่อง 9 ปี ต้องหาทางออกมหาสมุทรทั้งสองฝั่งทะเล ฯลฯ ระบบคมนาคม ต้องพัฒนาถนน, อากาศ และรถไฟ ฯลฯ
       
       ซึ่งทางการจีนประสานกับรัฐบาลไทยแล้ววางไว้ 4 สาย สร้างรางรถไฟจากจีน สาย 1 ไปประเทศเวียดนาม เชื่อมตะวันออกของไทยที่ จ.ระยอง เชื่อม จ.ชลบุรี-แหลมฉบัง ไปเศรษฐกิจพิเศษ “ทวาย”, สาย 2 จากยูนนาน เข้า สปป.ลาว ทะลุ จ.หนองผ่าน จ.ขอนแก่น เข้ากรุงเทพฯ, สาย 3 เข้าพม่า ต่อไปบังกลาเทศ เชื่อมย่างกุ้ง มาประเทศไทย เพื่อไปภาคใต้เข้าปาดังเบซาร์ (มาเลเซีย) และสาย 4 คือสายเหนือเชียงใหม่-กรุงเทพฯ
       
       ส่วนรูปแบบการลงทุนนั้น จีนอย่างไรก็ได้ ทั้งรูปแบบรัฐบาลจีน และไทยร่วมลงทุน หรือรัฐบาลจีนเป็นผู้ลงทุนเอง โดยล่าสุดได้จัดทำร่าง TOR เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสายเหนือที่เชียงใหม่จะมีอุโมงค์ประมาณ 3 แห่ง แต่ละแห่งมีระยะทางไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร (หากเทียบกับประเทศจีนอุโมงค์ยาวถึง 30 กม.) และอาจเชื่อมไปยัง จ.เชียงรายในระยะต่อไป แต่ก่อนสิ้นปี 56 นี้สายเหนือ หรือสายอีสานจะต้องเช็นสัญญาแน่นอน เพียงแต่ยังไม่แน่นอนว่าสายใดก่อน เพราะรถไฟแต่ละสายสามารถดำเนินไปทีละช่วงได้
       
       นายกว่าน มู่ กล่าวอีกว่า วันนี้มาบอกเพื่อให้ทุกคนตื่นตัว ให้ทุกคนแสดงความสามารถ ถ้ามีรถไฟทุกอย่างจะเปลี่ยน เดิมทีรถไฟจากปักกิ่งไปกว่างโจวใช้เวลา 72 ชั่วโมง ตอนนี้ร่นระยะเวลาเหลือ 8 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็จะทำให้การเดินทางใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
       
       “ฝากทิ้งท้ายอีกว่า คนไทยต้องเข้มแข็งและรักสามัคคีกว่านี้ มิฉะนั้นจะไปไม่ได้”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น