‘ยิ่งลักษณ์’ร่วมพิธีเปิดประชุมผู้นำ ACMECS ยันไทยพร้อมร่วมขับเคลื่อนพัฒนาอนุภูมิภาค
ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่า เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 13 มี.ค. ที่โรงแรมดอนจัน พาเลด นครเวียงจันทร์ สปป.ลาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้นำจาก สปป. ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม กัมพูชา และเลขาธิการอาเซียนร่วมพิธีเปิดการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ 5 (The Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) โดยนายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในฐานะเจ้าภาพ กล่าวเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ โดยตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศสมาชิก ACMECS และต้องเสริมสร้างความร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนสำคัญให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อสานต่อความสำเร็จเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคพื้นมนสากล และการเตรียมพร้องสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การพัฒนาการของความร่วมมือในการพัฒนาด้านต่างๆ เช่น การสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง และเติบโตอย่างยั่งยืน การคมนาคม สาธารณูปโภค วัฒนธรรม และทรัพยากรมนุษย์
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับลาว ที่ประสบความสำเร็จในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในปีนี้ โดยกล่าวว่า ถือเป็นก้าวที่สำคัญของ สปป.ลาว และอนุภูมิภาค ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลกกำลังเคลื่อนย้ายมาอยู่ที่เอเชีย ในขณะที่อาเซียนกำลังจะรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน พร้อมกับการที่ศักยภาพของอนุภูมิภาคนี้ที่สามารถเป็นศูนย์กลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก เนื่องจากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดเชื่อมโยง จากเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เอเชียใต้ และการเป็นอนาคตร่วมกัน จะต้องเดินหน้าพัฒนาไปข้างหน้าด้วยกันบนพื้นฐานของการมีความมั่นคงและความมั่งคั่งร่วมกันดังนั้นประเทศ ACMECS จะต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดต่อไปเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ สร้างงาน สร้างรายได้ ขยายโอกาสให้กับประชาชนของเรา และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยเฉพาะบริเวณชายแดน และต้องส่งสัญญานที่ชัดเจนให้นานาชาติ รับทราบถึงเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของผู้นำ ACMECS ที่จะผลักดันให้อนุภูมิภาคนี้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงอีกแห่งหนึ่งของโลก การนำเอาจุดแข็ง และความได้เปรียบของแต่ละประเทศ มาเสริมกันและกัน ก็จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจร่วมกัน และเพิ่มความน่าดึงดูดการค้า การลงทุนต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงจะต้องเดินหน้าในเรื่องการรวมตัวกันให้เข้มข้นยิ่งขึ้น และที่สำคัญ เราจะต้องช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมที่สันติในอนุภูมิภาคนี้ เพราะสันติภาพและเสถียรภาพคือพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า สิ่งที่ประเทศไทยให้ความสำคัญในการผลักดัน คือการเชื่อมโยงอนุภูมิภาคนี้เข้าด้วยกัน โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการประสานกฎระเบียบให้สอดคล้องกันเพื่อให้การขนส่งสินค้ามีความคล่องตัว ประชาชน นักธุรกิจ นักท่องเที่ยว สามารถไปมาหาสู่กันได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ให้ทั่วถึง โดยล่าสุด รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างครบวงจร เป็นจำนวนเงินประมาณ 66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่มุ่งปรับปรุงระบบการขนส่งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และด่านการค้าชายแดน ซึ่งจะเชื่อมโยงเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอื่นๆ ในอนุภูมิภาค เช่นการเชื่อมโยงทางบกในลักษณะ land bridge ระหว่างท่าเรือแหลมฉบังในประเทศไทยและท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสหกรรมที่ทวายในเมียนมาร์ที่จะสร้างขึ้นมาในอนาคต
คาดว่าการลงทุนดังกล่าวจะทำให้การค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น 45,000 ล้านบาท หรือ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นหัวใจ สำคัญหนึ่งของการเดินหน้าในเรื่องนี้ โดยรัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนงบประมาณ 15,000 ล้านบาท หรือ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อผลักดันเป้าหมายนี้ ประเทศไทยยืนยันที่จะให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการใหม่ ๆ เพื่อขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในประเทศสมาชิก ACMECS
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยเร่งผลักดันจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและเขตเศรษฐกิจชายแดน เพื่อแปรชายแดนร่วมกัน เป็นชายแดนแห่งความมั่งคั่งร่วมกันที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับ การเดินหน้าเป็นฐานการผลิตร่วมกันใน ACMECS และขณะนี้ ไทยและกัมพูชาได้เริ่มหารือในการพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วมกันแล้ว และดิฉันหวังว่า จะได้มีการหารือกับเมียนมาร์และ สปป. ลาว ต่อไป ในวันนี้ ไทยและลาวลงนามบันทึกความเข้าใจโครงการเกษตรแบบมีสัญญาระหว่างไทยกับ สปป. ลาว เพื่อยืนยันความพร้อมที่ไทยจะดำเนินโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองประเทศ ประการที่สาม คือผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างภาคธุรกิจใน ACMECS ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะภาคธุรกิจเป็นทั้งผู้บุกเบิกนำร่อง และพลังขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ รัฐบาลของประเทศ ACMECS จึงควรร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ ทั้งสำหรับภาคธุรกิจของประเทศ ACMECS กันเอง และภาคธุรกิจจากนอก ACMECS ไม่ว่าจะเป็นกรอบนโยบาย หรือกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อดึงดูดให้ภาคธุรกิจเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของอนุภูมิภาคนี้ได้อย่างเต็มที่ ไทยแลกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งไทยและกัมพูชาและหวังว่าจะมีความร่วมมือเช่นนี้กับประเทศ ACMECS อื่นๆ ในอนาคต
ประการสุดท้ายและเป็นหัวใจสำคัญ คือ ไทยส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความเข้าใจและใกล้ชิดสนิทสนมกันระหว่างประชาชนในอนุภูมิภาค เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาอนุภูมิภาคนี้ในอนาคต ฉะนั้น เราจึงควรส่งเสริมให้ประชาชนของเราไปมาหาสู่ ใกล้ชิด รู้จัก และเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน การแลกเปลี่ยนนักเรียน นักศึกษา และความร่วมมือระดับประชาชนต่างๆ ความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวต้องได้รับการส่งเสริม เพราะเป็นจุดแข็งและแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชาชนของทั้ง 5 ประเทศ ACMECS โดยขยายการเชื่อมโยง และส่งเสริมการรณรงค์การท่องเที่ยวร่วมกันให้มากยิ่งขึ้น อาทิ โครงการ ACMECS Single Visa และ การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวใน ACMECS เข้าด้วยกัน ตามแนวคิด 5 ประเทศ 1 จุดหมายปลายทาง
นอกจากนี้ การร่วมกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาค เพื่อลดช่องว่างการพัฒนา เพื่อให้อนุภูมิภาคนี้สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพและเพื่อเตรียมตัวในการเป็นประชาคมอาเซียนอย่างมีคุณภาพ โดยรัฐบาลไทยจะให้ทุนการฝึกอบรมอีก 200 ทุนในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งสาธารณสุขและเกษตรในระยะเวลา 2 ปีที่จะถึงนี้ ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างสูงกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ เพราะเชื่อว่า เราจะต้องก้าวหน้า พัฒนาไปด้วยกัน และหัวใจของ ACMECS ก็คือ การส่งเสริมความมั่นคงและความมั่งคั่งร่วมกันของทั้ง 5 ประเทศในอนุภูมิภาคนี้ ในอีก 10 ปีข้างหน้า ยังมีอีกหลายด้านที่เราจะต้องทำให้มากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน รวมทั้ง ความสำเร็จของอาเซียน และสันติภาพและความมั่งคั่งของภูมิภาคโดยรวม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น