วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โรคปวดกล้ามเนื้อ

 รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้
คุณหมอ บอกว่าคนที่เป็นโรคปวดกล้ามเนื้อนี้ จะมีลักษณะป็นกลุ่มอาการหลากหลายร่วมกันได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อเป็นแถบ ๆ หรือซีกใดซีกหนึ่ง แบบปวดน้อย ๆ พอทนได้จนเป็นความปวดแบบซ้ำซาก ไปจนปวดมาก ๆ จนแทบจะทนไม่ได้ มีอาการ ปวดร้าวไปที่อื่น เช่น ศีรษะร้าวลงแขน หรือร้าวลงไปที่กล้ามเนื้อส่วนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้ พบว่าการตรวจร่างกายจะพบอาการแสดงที่สำคัญคือ บริเวณกล้ามเนื้อที่มีจุดกดเจ็บ และจุดกดแบบกดแล้วมีอาการปวดร้าว ส่วนมากอาการปวดคอ สะบัก มักจะมีจุดกดเจ็บอยู่บริเวณตำแหน่งกระดูกคอ ต่อกับกระดูกสะบัก อยู่ในตำแหน่งกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างกระดูกคอ และกระดูกสะบักด้านบน

 ทำไมถึงเป็นโรคนี้ แล้วจะมีวิธีการรักษาได้อย่างไรคะ



โรคนี้เกิดจากสาเหตุได้หลายประการ ได้แก่
   
1. การบาดเจ็บทางร่างกายอย่างรุนแรง เช่น อุบัติเหตุทางการกีฬา, อุบัติเหตุทางรถยนต์ มีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อมาก่อน แต่ในขณะนั้นร่างกายยังมีความแข็งแรง อาการบาดเจ็บจึงยังแสดงไม่เห็นเด่นชัด
   2. การบาดเจ็บแบบน้อย ๆ แต่เป็นแบบซ้ำซาก เช่น การนั่งทำงานที่ผิดอิริยาบถเป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ ได้แก่พวกชอบนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ ไม่ชอบออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อบางกลุ่มต้องทำงานหนักตลอดเวลา จึงเกิดการหดเกร็งเป็นก้อน (Taut Band) ตามมา หากกล้ามเนื้อไม่มีโอกาสได้คลายตัว  หรือไม่ได้รับการรักษาจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งมากขึ้น เป็นเหตุให้เกิดอาการปวด แม้ว่าจะไม่ได้มีการลื่นหกล้ม หรือบาดเจ็บใด ๆ มาก่อนก็ตาม รวมถึงมีอาการเหนื่อยล้า ชาตามปลายมือและเท้าได้เหมือนขาดวิตามินบี วิตามินซี อีกด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมที่เราทำเอง จากงานประจำที่ต้องทำซ้ำ ๆ เหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว
   3. โรคข้อเสื่อมที่พบมากได้แก่ หมอนรองกระดูกคอเสื่อม ทำให้มีอาการปวดคอ กล้ามเนื้อคอหดเกร็งตามมา
   4. ความวิตกกังวล เครียด ซึมเศร้า

phyathai_article_msk012

 การรักษาทำได้อย่างไรบ้างคะ

การรักษาที่ได้ผลดี ต้องทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด เช่น การปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง อันมีสาเหตุมาจากหมอนรองกระดูกคอเสื่อม ต้องทำการรักษาที่ต้นเหตุของโรค มิฉะนั้นการรักษาแต่ปลายเหตุ อาจทำให้อาการปวดกลับมาเป็นซ้ำอีก โดยทั่วไป ได้แก่
   1. ลดการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ต่อเนื่อง ติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง
   2. การรักษาโดยการนวดแบบผ่อนคลาย สามารถให้ผลลดอาการปวดได้ดี แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องนาน 2 สัปดาห์
   
3. การยืดกล้ามเนื้อด้วยตนเอง โดยการยืดหรือ Stretching exercise จนถึงจุดมีอาการปวดเล็กน้อย ทำคราวละ 10 ครั้ง วันละ 2 รอบ นานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ให้กล้ามเนื้อมีอาการยืดนาน 20-30 วินาที
   
4. การทำกายภาพบำบัด เช่น การประคบร้อน การใช้ Ultrasound ให้ความร้อนแบบลึกลงไปในชั้นของกล้ามเนื้อ การยืดคอหรือดึงคอด้วยอุปกรณ์ที่แผนกกายภาพบำบัด นานต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ ๆ ละ 3-5 ครั้ง
   
5. การลงเข็ม หรือการใช้เข็มช่วยให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งมีการคลายตัว
   6. การฉีดยาตรงจุดกดเจ็บโดยแพทย์ จะทำการค้นโดยการคลำจุดกดเจ็บที่มีการปวดร้าว ใช้ยาชา หรือยาชาผสมยาสเตียรอยด์ เพื่อช่วยชำระล้างสารก่อให้เกิดอาการอักเสบบริเวณเฉพาะที่ตำแหน่งกดเจ็บนั้น ๆ
   
7. การพักผ่อนให้เพียงพอ เข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
   
8. การปรับเปลี่ยนอิริยาบถ การนั่ง, การยืน ให้มีการยืดตัวเสมอ ๆ ออกกำลังกายให้มากขึ้น อย่างน้อยตื่นเช้ามาต้องมีการแกว่งหัวไหล่ทั้ง 2 ข้าง ด้านหน้า 20 ครั้ง ด้านหลัง 20 ครั้ง เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อรอบ ๆ หัวไหล่และสะบัก ป้องกันการเกิดพังผืด และหัวไหล่ติดยึด รวมถึงการเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน ทำกายและใจให้รู้สึกผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงการนั่งที่ซ้ำ ๆ ต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการนั่งเก้าอี้ที่นั่งแล้วมีการยุบตัว เช่น โซฟา หรือเบาะรองนั่งต้องมีการเสริมด้วยหมอนรองก้น เพื่อให้มีความแข็งแรงขึ้น
 
ทั้งหมดที่กล่าวมาอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังจะสามารถรักษาได้ขึ้นกับคำว่า “เข้าใจ” และ “ปรับเปลี่ยน” กิจวัตรประจำวันที่บั่นทอนสุขภาพของเราไปทีละเล็กทีละน้อยทุกๆ วัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น