วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556
ขจัดขี้ฟันให้ถูกวิธี
มีสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำความสะอาดในช่องปากที่คุณอาจมองข้ามไปหลายๆ อย่าง ส่วนใหญ่แล้วการขจัดคราบอาหารในช่องปาก เราะจะเข้าใจว่าแค่แปรงฟันก็พอ โดยข้อเท็จจริงแล้ว ฟันและเหงือกเป็นอวัยวะที่กักเก็บเศษอาหารที่ต้องมีอุปกรณ์และวิธีการทำความ สะอาดอย่างที่พิถีพิถันพอสมควร มาดูกันว่าอะไรควรหรือไม่ควรปฏิบัติกันเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีตลอดไป
Do's
• เลือกแปรงที่ขนนิ่มไม่แข็งเกินไป • แปรงฟันหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง • แปรงให้ถูกวิธี ฟันบนปัดลงล่าง ฟันล่างปัดขึ้นบน แปรงทุกด้านของฟัน ด้านบดเคี้ยว ด้านนอก ด้านใน • ใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหาร ตามซอกฟันและใต้เหงือก • การใช้ Dental floss (ไหมขัดฟัน) ให้ใช้ทุกครั้งหลังจากการรับประทานอาหาร ทำทุกซี่ • ท่านที่มีฟันห่างมาก ใส่ฟันปลอมแบบติดแน่น อาจจะต้องใช้แปรงซอกฟันทำความสะอาดด้านข้างของฟัน และใต้ฐานฟันปลอม • ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมฟลูออไรด์ (fluoride) • อมน้ำยาบ้วนปากหลังการแปรงฟันทุกครั้ง
การขจัดคราบอาหาร (ขี้ฟัน) ออกให้หมดเกลี้ยงจะช่วยลดฟันผุ และเหงือกอักเสบได้อย่างตรงจุดที่สุด รู้อย่างนี้ก็อย่าปล่อยให้คราบอาหารค้างอยู่ในปากนานๆ ต้องพิถีพิถันขจัดออกเสีย สุขภาพเหงือกและฟันจะดีตลอดไป
Don'ts
มีอะไรบ้างที่ต้องระมัดระวัง เพราะถ้าทำผิดเข้าใจไม่ถูกต้อง แทนที่จะขจัดคราบอาหารได้เกลี้ยง กลับมีผลข้างเคียงต่อเหงือกและฟันอีก
• ไม่ใช้แปรงขนแข็งมาก (เพราะจะทำให้ฟันสึกได้ง่าย) • เลือกแปรงด้ามตรงไม่โค้งงอ เพราะแปรงเหล่านี้จะแปรงทำความสะอาดได้ดีเฉพาะบางตำแหน่ง • อย่าแปรงฟันแบบตามใจฉันที่ถนัด คือ แปรงขึ้นลงแรงๆ วิธีแบบนี้จะทำให้เหงือกร่นง่าย เพราะหลักการที่ถูกต้อง ฟันบนให้ปัดลงล่าง ฟันล่างให้ปัดขึ้นบน แต่ถ้าแปรงขึ้นลงเร็วๆ ฟันบนจะถูกแปรงกระแทกเหงือกให้ขึ้นไป ฟันล่างก็ถูกแปรงกระแทกให้เหงือกถอยลงล่าง จนเกิดอาการเหงือกร่น เป็นสิ่งที่แก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมยาก และทำให้มีอาการเสียวฟัน เวลาแปรงด้านข้างก็จะถูเข้าออกแรงๆ เหมือนเลื่อยแบบนี้ ก็ทำให้คอฟันสึกเหมือนการโค่นต้นไม้ รอยสึกจะทำให้มีอาการเสียวฟัน ถ้าสึกเข้าไปลึกมาก อาจต้องรักษารากฟัน • อย่าใช้ไม้จิ้มฟันทำความสะอาดด้านซอกฟัน เพราะไม้จิ้มฟันมีผลต่อเหงือก ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันมากขึ้น ให้ใช้ dental floss แทน • น้ำยาบ้วนปากช่วยทำความสะอาดช่องปาก โดยการลดจำนวนแบคทีเรียชั่วขณะ ดังนั้น ยังต้องแปรงฟันให้สะอาดด้วย
ที่มา : นิตยสาร HealthToday
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น