ผาดโผนโจนทะยานในวงการเมืองไทยมาหลายสิบปี เจอทั้งทุกข์ทั้งเศร้า เคล้าน้ำตา มาไม่รู้กี่ครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำเสมอมา คือ ความเป็นนักเลงตัวจริง ไม่เคยอาฆาตมาดร้ายใคร แต่ใครมีบุญคุณต้องทดแทน เหตุนี้เอง จึงทำให้ไร้ศัตรูคู่อาฆาต และสามารถสร้างคอนเนกชั่นการเมืองได้อย่างหาใครเสมอเหมือน...
ใครคนที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หรือ เสธ.หนั่น ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม ด้วยอาการ ติดเชื้อในกระแสโลหิตอย่างรุนแรง จนส่งผลให้ภาวะการไหลเวียนโลหิตและระบบการหายใจล้มเหลว ทำให้เสียชีวิต อย่างสงบในเวลา 17.09 น.ของวันที่ 15 ก.พ.2556 ภายหลังเข้ารับการรักษาที่ รพ.ศิริราช ด้วยโรคถุงลมโป่งพอง มาตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.2555
เสธ.หนั่น เริ่มต้นการกระโจนเข้าสู่เวทีการเมือง ด้วยเส้นทางที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ ภายหลังต้องกลายเป็นกบฏ หลังโดดร่วมคณะกับ พล.อ.ฉลาด หิรัญสิริ โค่นรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เมื่อปี พ.ศ. 2520 แต่ไม่สำเร็จ ทำให้ เสธ.หนั่น ซึ่งในขณะนั้น มียศเป็นพันโท ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ในเวลาต่อมาได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปีเดียวกัน
จากนั้น ก็ก้าวเข้าสู่ถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว เมื่อเข้าสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัครรับเลือกตั้ง ครั้งแรก ที่เขตดุสิต แต่ก็พลาดหวังไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ที่สุด เมื่อปี พ.ศ.2526 ก็ได้เป็นผู้แทนราษฎรอย่างเต็มภาคภูมิครั้งแรก ในฐานะที่ชนะการเลือกตั้งที่ จ.พิจิตร และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จ.พิจิตร ก็คือถ้ำเพชร ของพญาชาละวันการเมืองผู้นี้ มาจวบจนถึงปัจจุบัน จากนั้นก็ค่อยๆ ไต่เต้าทางการเมือง และสร้างฐานอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และตำแหน่งรัฐมนตรีในหลายๆ รัฐบาล ที่พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วม
และแน่นอนหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญที่ เสธ.หนั่น บรรจงสร้างผลงานทางการเมือง ที่ยากหาใครเสมอเหมือน จนกลายเป็นเสียงเล่าขานมิรู้จบ และกลายเป็นคำสำคัญทางการเมืองไทยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถ ร้อยพันคอนเนกชั่น ก็คือ ในปี พ.ศ.2540 ที่ประเทศไทยในขณะนั้น เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจย่อยยับ จากพิษสงของกลุ่มอาชญากรทางเศรษฐกิจ ที่ใช้พลังทางการเงินมหาศาลเข้าถล่มค่าเงินบาท จนรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในสมัยนั้น ต้องยอมจำนน ประกาศยอมลดค่าเงินบาท ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน พล.อ.ชวลิต เพิ่งจะประกาศดังๆ ให้ฟังชัดๆ กับคนทั้งประเทศว่า จะไม่ลดค่าบาท และยังมีการจัดฉลองความสำเร็จ ที่สามารถเอาชนะกลุ่มอาชญากรทางเศรษฐกิจในสงครามค่าเงินได้สำเร็จ จนนำมาซึ่งความสูญเสียเครดิตทางการเมืองแทบหมดสิ้นของพ่อใหญ่จิ๋ว
จนที่สุด พรรคร่วมรัฐบาลในสมัยนั้น ซึ่งประกอบด้วย พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคชาติไทย และพรรคประชากรไทย และพรรคกิจสังคม ที่มีตัวตั้งตัวตีคือ นายเสนาะ เทียนทอง ได้กดดันให้ พล.อ.ชวลิต ลาออก เพื่อผลักดันให้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อคงสถานะความเป็นรัฐบาลเอาไว้ให้ได้ต่อไป แต่ด้วยความที่เกิดกระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนจำนวนมาก จากเหตุการณ์ความหายนะทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น ประกอบกับการที่พรรคฝ่ายค้านที่มีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำมี ส.ส.น้อยกว่าพรรคความหวังใหม่เพียง 2 เสียง ทำให้ เสธ.หนั่น รีบชิงเดินเกม ดึงเสียง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล เข้ามาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ขึ้นทันที โดยใช้บารมีของ นายชวน หลักภัย ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตสูง เป็นดาราชูธงในการเรียกเสียงยอมรับจากมหาชน
จนที่สุด ในวันที่ 9 พ.ย. เรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อมีการแถลงจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นถึง 2 ครั้งในวันเดียว โดยครั้งแรก นายเสนาะ ได้ประกาศยืนยันการจัดตั้งรัฐบาลที่มี พล.อ.ชาติชาย เป็นนายกรัฐมนตรี แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ การไม่ปรากฏตัวในการแถลงข่าว ของ นายมนตรี พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคกิจสังคมในสมัยนั้น
จนที่สุดอีกไม่กี่นาทีให้หลัง ก็ได้มีการประกาศจัดตั้งรัฐบาล ที่มีนายชวน เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีไฮไลต์สำคัญคือการที่ เสธ.หนั่น เดินนำ นายมนตรี พร้อมกับ 12 ส.ส.พรรคประชากรไทย ที่มีนายวัฒนา อัศวเหม เป็นแกนนำ เข้ามาร่วมการแถลงข่าว เพื่อยืนยันเสียงข้างมากกว่าฝ่ายของ พล.อ.ชาติชาย จนทำให้ต่อมาภายหลัง นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ในสมัยนั้น ได้เรียกขานกลุ่มของ นายวัฒนา ว่าเป็นกลุ่มงูเห่า จนกลายเป็นตำนานสำคัญอีกบทหนึ่งของการเมืองไทย และเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ความสำเร็จของ พญาชาละวันผู้นี้มาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี เมื่อมีสุขก็ย่อมมีเศร้า หลังถือครองความเป็นเต้ยทางการเมืองมาเป็นเวลานาน จนแทบจะไม่มีใครคิดว่า ใครจะสามารถโค่นพญาชาละวันผู้นี้ได้ แต่ที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อ นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.พรรคความหวังใหม่ ในสมัยนั้น ได้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.สนั่น ว่าแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ จากนั้น นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพประชาชน ได้นำข้อมูลการอภิปรายดังกล่าวไปยื่นให้คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตรวจสอบ ถึงการกู้ยืมเงินจำนวน 45 ล้านบาท จากบริษัทเอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ทั้งที่ไม่มีการกู้ยืมจริง จนนำไปสู่การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ พล.ต.สนั่น ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี สูญเสียตำแหน่งสำคัญทางการเมืองไปจนหมดสิ้น ทำให้ถูกสื่อมวลชนในสมัยนั้น เรียกขานสิ่งที่เกิดขึ้นกับพญาชาละวันผู้ยิ่งใหญ่ นี้ว่า ปลาวาฬตายน้ำตื้น
แต่ความชอกช้ำทางการเมือง ยังไม่จบสิ้น ภายหลังได้รับอิสรภาพทางการเมือง แทนที่จะกลับเข้าประชาธิปัตย์บ้านเก่า เสธ.หนั่น กลับตัดสินใจ บ่ายหัวไปตั้งพรรคมหาชน โดยอาจเป็นเพราะว่า ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ที่ถูกแบนทางการเมืองอยู่ นั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในพรรคประชาธิปัตย์ การที่จะกลับคืนถิ่น อาจกลายเป็นเสือ 2 ตัวมาอยู่ถ้ำเดียวกัน หรืออาจยังมั่นใจในพลังการเมืองของตนเอง ก็สุดจะคาดเดา แต่ที่สุด พรรคมหาชนก็ไปไม่รอด โดยในการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2548 นั้น พรรคมหาชน พ่ายแพ้อย่างยับเยิน ได้ ส.ส.มาแค่ 2 คน แม้แต่ตัว เสธ.หนั่น เอง ซึ่งลงสมัครในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็ยังไม่ได้เป็น ส.ส.เพราะได้คะแนนไม่ถึง 5% ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 จนทำให้พญาชาละวันผู้ยิ่งใหญ่ ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ออกมา
หลังการปิดฉาก พรรคมหาชน ในปี 2550 เสธ.หนั่น ได้พา นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ บุตรชาย เดินทางไปสมัครเข้าพรรคชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคสุดท้ายในชีวิตผู้ยิ่งใหญ่แห่ง จ.พิจิตร ผู้นี้ อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างปี 2552-2553 พล.ต.สนั่น ได้ประกาศว่าในช่วงสุดท้ายชีวิตทางการเมืองนี้ จะขอพยายามผลักดันให้เกิดความปรองดองขึ้นในชาติ เพราะรู้สึกทนไม่ได้กับความแตกแยกสงครามสีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยไฮไลต์สำคัญ คือการแย้มว่าจะเดินสายไปรับฟังความเห็นและข้อเสนอจากทุกฝ่ายไม่เว้นแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ที่สุดความพยายามผลักดันเรื่องดังกล่าว ก็หายไปกับสายลม จนเจ้าตัว ถูกสื่อมวลชน ตั้งฉายา ลิ้นชาละวัน ให้กับความล้มเหลวที่กิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา เสธ.หนั่น ได้สร้างไฮไลต์ส่วนตัว ขึ้นอีกวาระเมื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิในปัจจุบัน ได้พยายามผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง จนทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง นั้น เสธ.หนั่น ได้ยิง 3 คำถามตรงอันสำคัญใส่หน้า พล.อ.สนธิ ถึงเบื้องหลังการปฏิวัติ 19 ก.ย. จนทำให้ พล.อ.สนธิ ต้องยอมถอยทางการเมือง หยุดการเคลื่อนไหวตัวเองลงชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงการที่จะต้องตอบคำถามของ เสธ.หนั่น
อย่างไรก็ดี เสธ.นั่น ถือเป็นผู้ที่ได้รับการเล่าขาน และยอมรับจากทุกฝ่ายว่า เป็นนักเลงตัวจริง เพราะไม่เคยอาฆาตเคียดแค้น ติดใจใคร แม้แต่กระทั่งนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม อะไรที่เคยเป็นความขัดแย้งทางการเมือง เมื่อจบแล้วก็จบกัน หลังเวทีการเมืองก็เป็นพี่น้องกันตามปกติ แม้แต่กระทั่ง นายกล้านรงค์ จันทิก เลขาธิการ ป.ป.ช. คู่กรณีที่ทำให้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ก็ยังเอ่ยปากชมและให้การยกย่อง เพราะหลังจากเกิดกรณีดังกล่าวแล้ว ไม่ว่าจะไปเจอกันในงานคราใด เสธ.หนั่น ก็เข้ามาทักทาย ไต่ถามทุกข์สุข กันอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ในวันที่ 12 มี.ค. พ.ศ.2555 พล.ต.สนั่น ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ได้ประกาศ ยุติบทบาททางการเมือง โดยขอยุติการทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส. แต่ยังคงพร้อมที่จะช่วยงานในส่วนของพรรค และงานการเมืองของประเทศต่อไป ปิดฉากการเมือง สำหรับพญาชาละวันผู้ยิ่งใหญ่
อำลาอาลัย "เสธ.หนั่น" : ท่านยิ่งใหญ่ มีน้ำใจ เทียบเท่า "น้าชาติ"
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 09:15:30 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น