วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

"สมองๆๆๆ" มีไว้...ให้ "คิดดี พูดดี ทำดี


โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข 


"สมอง" เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายอย่างหนึ่งที่อยู่สูงที่สุด ก้อนเนื้อสมองมีสีเหลือง มีสองก้อน แบ่งเป็นสองซีก คือซีกซ้ายกับซีกขวา ที่มีคลื่นหยักๆ มากมายเรียกว่า Gyrus ส่วนร่องสมองเรียกว่า Sulcus มีเซลล์สมองที่ "แสนวิเศษ" จำนวนมากเป็นแสนๆ ล้านๆ ตัว มีความสำคัญต่อการ "ควบคุม" "สั่งการ" ทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การพูด ความรู้สึกหนาว เย็น ร้อน เจ็บ ปวด ความจำ การคิดอ่าน สร้างนวัตกรรม อีกมากมาย

"ก้อนสมอง" นี้อยู่ภายในกล่องที่แข็งมาก คือ "กะโหลกศีรษะ" ถ้าเปรียบระบบ IT สมัยนี้ ก็คือ "Soft ware" อยู่ในกล่อง "Hard ware" แต่ที่ต่างกันก็คือ เซลล์เนื้อสมองนอกจากจะมีการเจริญเติบโตเหมือนส่วนอื่นของร่างกายแล้ว "เซลล์สมอง" ทรงประสิทธิภาพในการทำงานสร้างสรรค์ความเจริญของโลกมากมายหลายอย่างที่ปรากฏอยู่ เซลล์ของสมองทำหน้าที่เชื่อมโยง (Pathways) ต่างๆ มากมาย จากจุดศูนย์กลางของสมอง ส่งไปยังอวัยวะต่างๆ ให้ทำงาน ประตูเข้าของอวัยวะรับความรู้สึก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วส่งกระแสผ่านประสาทไปยังสมองส่วนกลางแปรผลออกมาแล้วสั่งการไปตามระบบอวัยวะของร่างกายในการรับรู้การรู้สึก จากการกระตุ้นในแบบต่างๆ ผ่านประตูออกแสดงออกรูปแบบต่างๆ ทางขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามปกติที่ปุถุชนพึงมีตามโลกธรรม 8 คือ สิ่งที่ทุกคนต้องพบต้องเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หมายถึง มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ มีสรรเสริญ-มีนินทา มีสุข-มีทุกข์ วนเวียนสลับกันไปตลอดเวลา ขึ้นอยู่ว่าเรารู้ทันมันหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามวัฏสงสาร คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ยิ่งอายุ วัย มากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ประสบอุบัติเหตุใดๆ เลย หรือไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่เกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบ หรือแตก ตามที่ได้เคยเขียนในฉบับก่อน "สมองหรือเซลล์สมอง" ย่อมเสื่อมตามวัน เวลา ตามวัย เมื่อมีอายุมากขึ้น กล่าวคือ มีโรคต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในวัยผู้สูงอายุ

ในที่นี้จะเล่าให้ฟังง่ายๆ โรคที่พบบ่อยๆ คือ "สมองเสื่อม"


โรค "สมองเสื่อม" เป็นคำที่เรียกกว้างๆ ถามว่า มันคืออะไร...ตอบได้ว่า เป็นกลุ่มอาการทางสมองที่สำคัญคือ "ความจำ" แย่ลงเรื่อยๆ ในระยะแรกๆ จนมีผลต่อชีวิตประจำวัน ต่อมาจะมีผลต่อพฤติกรรม อารมณ์เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น ...ซึ่งมีหลายชนิด หนึ่งในนั้นคือ "โรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์" โรคนี้อาจป้องกันไม่ได้ แต่มีความสัมพันธ์กับเส้นเลือดสมองที่ไปเลี้ยงสมองตีบตัน หรือได้รับอุบัติเหตุ สมองบาดเจ็บ ถ้าเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองดี น่าจะลดการเป็นโรคสมองเสื่อมได้หลายชนิด รวมทั้งโรคสมองอัลไซเมอร์ด้วย

"โรคอัลไซเมอร์" เกิดจากมีโปรตีนชื่อ เบต้าอมัยลอยด์ (Beta myeloid protein) มากผิดปกติ

ไปจับในเนื้อสมองเป็นหย่อมทำให้สมองส่วนนั้นทำงานผิดปกติ หรืออาจเสียไปในที่สุด โปรตีนนี้มักไปเกาะสมองส่วนที่เกี่ยวกับ "ความจำ" ทำให้โรคนี้มีอาการเด่นชัดเกี่ยวกับ "ความจำ" เป็นหลัก โรคนี้เป็นแล้วไม่หายขาด ถ้ารู้สาเหตุมาจากเนื้องอก ไทรอยด์ ขาดวิตามินบี 12 แก้ไขได้ อาการอาจดีขึ้น หรือบางรายอาจหายขาดได้

"โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์" พบเจอในคนอายุมากแล้ว กว่าจะเกิดอาการก็อายุมากกว่า 60 ปี แต่สมองเสื่อมบางอย่างพบได้ก่อนวัยอันควร เช่น เป็นความดันโลหิตสูง เรื้อรัง หากควบคุมไม่ดีเป็นอัมพฤกษ์ตั้งแต่อายุ 45 ปี พออายุย่าง 45, 46, 47 ปี คงสมองเสื่อมแล้ว เรียกว่าเสื่อมจาก "เส้นเลือดสมองตีบ" หรือบางรายรถคว่ำตอนอายุ 30 ปี หรือถูกตีศีรษะด้วยไม้หรือท่อนเหล็ก แล้วมีเลือดคั่งในสมอง อายุประมาณ 40 ปี อาจจะสมองเสื่อมแล้วก็ได้ หรือบางรายมีพยาธิสภาพที่เกิดจากการพร่องวิตามินบี 1 บี 6 บี 12 หรือบางรายต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่องเจอตั้งแต่อายุ 40 ปี

ผู้เขียนขอนำข้อมูลจากสถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มาช่วยรณรงค์ให้คนไทยทั้งประเทศ และเพื่อนสมาชิกผู้อ่านมติชน ได้รับรู้ รับทราบทั่วกัน เนื่องจากแนวโน้มประเทศไทยกำลังจะมีคนไทยอายุขัยเฉลี่ย 80 ปี ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ได้รู้จัก "อาการเริ่มต้น" ของโรคสมองเสื่อมเสียแต่แรกๆ ด้วย "ตนเอง" ก่อนจะสายเกินไป เพื่อจะได้ไปพบแพทย์ ตรวจหาสาเหตุและรักษาเยียวยา โดยสัญญาณของ "โรคสมองเสื่อม" มี 6 ประการ คือ

1.สมาธิ คนที่ไม่ค่อยมีสมาธิเวลาทำอะไร เป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อม เช่น ไล่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ย้อนหลังไม่ได้ คนมีสมาธิถึงจะทำได้ วันอาทิตย์ วันเสาร์ วันศุกร์ วันพฤหัสบดี วันพุธ วันอังคาร วันจันทร์ การจำหมายเลขโทรศัพท์ก็ต้องใช้สมาธิ บางคนจำไม่ได้เช่นกัน เป็นต้น

2.สังคม คนที่สมองเสื่อมจะแปรผลสังคมผิดๆ เช่น ปกติคนหน้าบึ้ง คนทั่วไปรู้ว่าอารมณ์ไม่ดี ต้องพูดกันด้วยความระมัดระวังเพราะรู้ว่าอารมณ์ไม่ดี แต่คนสมองเสื่อมจะแปลไม่ออก ว่าคนที่หน้าบึ้งต้องอารมณ์ไม่เสียนะ เขาจะพูดเหมือนไม่รู้ เรียกว่า "เสียการรับรู้ทางสังคมไป"

3.ความจำเสื่อมไป เช่น ลืม ขี้ลืม พูดซ้ำๆ ถามอะไรซ้ำๆ แบบไม่เข้าใจ

4.การวางแผน บริหารจัดการจะเสียไป มีผิดๆ พลาดๆ บ่อยๆ ไม่สามารถวางแผนทำอะไรให้ถูกต้องได้ บางทีทำอะไรไปจะหยุด พูดต่อไม่ได้ ไปไม่เป็น ความคิดริเริ่มในการบริหารจัดการเสียไป

5.ทิศทาง ทักษะเสียไป หลงทิศ หลงทาง ลูกบิดประตูบ้าน เดิมบิดขวาตลอด วันหนึ่งเริ่มงง เริ่มบิดซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ไม่รู้ทิศทางข้างไหน

6.พฤติกรรม อารมณ์เปลี่ยน ซึมเศร้าง่าย หงุดหงิดง่าย มีความฝันผิดปกติ เห็นภาพหลอน เห็นคนตายมาหา ได้ยินเสียงหลอนทางหู เห็นภาพหลอนทางตา เป็นต้น

ถ้าเริ่มมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรเข้าสู่กระบวนการตรวจคัดกรอง 6 ข้อ ตามข้อเสนอของสถาบันเวชศาสตร์ครอบครัวผู้สูงอายุ กรมการแพทย์เสนอมา จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นอัลไซเมอร์ได้

หากคุณมีโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ก็ทำให้สมาธิหายไป ความสามารถทางสังคมเสียไป ความจำก็ไม่ดี อันนี้พบได้ในภาวะดังกล่าว คือ อาการปกติของคนที่จะเป็น "สมองเสื่อมปลอม" พวกนี้ใช้ยาต้านความเศร้าหรือรักษาความเครียด อาจกลับมาเป็นปกติได้



หากดูสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดตีบตัน มีต้นเหตุมากที่สุดคือ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง 3 โรคนี้ เป็น "ผู้ร้าย" ของโรคไม่ติดต่อ เนื่องจากขาด 3 อ (ออกกำลังกาย อาหาร อารมณ์) มีความเสี่ยงสูงในเรื่องเหล้า สูบบุหรี่ประจำ ถ้าเกิดมีปัญหาตรงนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำให้เส้นเลือด เลือดเลี้ยงสมองมีความสม่ำเสมอ คาดว่าโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุจะลดลง หากพิจารณาดูและถามว่า อาหารสมองที่ดีมีอะไรบ้าง ที่ไม่ต้องลงทุนไปซื้อแพงๆ มีไหม? ตอบได้เลยว่า...มีครับ...ได้แก่

ปลา เป็นอาหารของคน "ฉลาด" มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นอาหารหลักหมู่ที่ 1 ประเภทเนื้อสัตว์ โปรตีนในปลาเป็นชนิดสมบูรณ์ และย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนทุกอายุ ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ไขมันที่อยู่ในเนื้อปลาจะเป็นไขมันที่มีคุณภาพดีที่จำเป็นสำหรับร่างกาย โดยจะเป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะ "เซลล์สมอง" และยังป้องกันการแข็งตัวของไขมันในเส้นเลือด เนื่องจาก กรดไลโนเลอิก (Leinoleic acid) ซึ่งเป็นกรดชนิดหนึ่งในเนื้อปลา จะช่วยทำหน้าที่ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด รวมทั้งช่วยเร่งการเผาผลาญ ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดลดลง

นอกจากนี้ "ปลา" ยังมีวิตามินและเกลือแร่ ถาม กินปลาชนิดไหนอย่างไร? ตอบได้ว่า ปลาทุกชนิดดีหมด ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาสร้อย...ปลาเข็ม อะไรก็ได้ ดีทั้งนั้น ทั้งนี้ต้องทำให้สุกก่อน แต่ถ้ากินปลาตัวเล็กตัวน้อย หรือปลากระป๋อง ก็จะทำให้ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ส่วนปลาทะเลก็จะมีธาตุไอโอดีน ไม่เป็นคอพอก ไม่เป็นโรคเอ๋อ

ดังนั้น ควรกินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง วิเศษสุดเลยครับ โดยปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น ปลาทอด ปลาทูต้มเค็ม ทอดมันปลา แกงอ่อมปลาดุก เป็นต้น

เมื่อครั้งที่เคยอยู่กองโภชนาการ จำได้ว่ามีการรณรงค์ให้คนไทยกินปลา โดยมีคำขวัญเชิญชวนว่า "กินปลาเถิดน้อง...สมองจะดี กินปลาเถิดพี่...จะดีที่สมอง"

ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เปรียบเสมือนเป็นการให้อาหารเสริมที่ดีที่สุดกับชีวิต เพราะไม่ต้องลงทุน ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงแต่เราต้องเริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้ ก่อนจะเข้าอายุ 30 หรือ 40 ปี ...ต้องขยันหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เหมาะสมกับอายุด้วย ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนในฉบับก่อนๆ แล้ว ประเด็นสำคัญคือ "สารเอ็นโดรฟิน" กับการป้องกันสมองเสื่อม น่าจะเป็นเรื่อง "เส้นเลือด"

จะสังเกตพบว่า เวลาออกกำลังกายเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงสมองดีขึ้นมากๆ "ออกซิเจน" ก๊าซออกซิเจนที่บริสุทธิ์ไปเลี้ยงสมองมากขึ้นๆๆๆ ก็จะทำให้เซลล์สมองมีการทำงาน มีเมตาบอลิซึมที่ดีขึ้นตามลำดับ สันนิษฐานว่าสมองเสื่อมหลายอย่างป้องกันได้

ดังนั้น ในงานวิจัย สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดในการป้องกันโรคสมองเสื่อมคือ "การออกกำลังกาย" และจะควบคุมโรคเรื้อรังได้ดีกว่าการกิน "อาหารเสริม" ด้วยซ้ำไป



อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งทุกคนเคยทำมาแล้วและในฉบับที่แล้วผู้เขียนพูดถึง คือ เรื่องอารมณ์ โดยกล่าวถึงการยิ้ม คิดบวก ปฏิบัติธรรม ว่าด้วยศีล สมาธิ ปัญญา และ/หรือทาน ศีล ภาวนา...ดังกล่าวแล้ว

ดร.ริชาร์ด เดวิดสัน นักประสาทวิทยา จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน สหรัฐอเมริกา ค้นพบข้อเท็จจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบมากว่าสองพันห้าร้อยปีก่อนหน้านี้ว่า สมองของคนเรานั้นไม่เพียงสามารถปรับปรุงขีดความสามารถในการทำงานให้ดีขึ้นได้ด้วยกระบวนการฝึกฝน แต่หากยังสามารถปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างระบบประสาทในการทำงานให้ดีขึ้น ด้วยกระบวนการฝึกฝน หรือการ "ออกกำลังกายสมอง" โดยการ "นั่งสมาธิ" เช่นเดียวกับ ศาสตราจารย์

แอมิชิ จา นักประสาทวิทยา จากมหาวิทยาลัยไมอามี ได้เรียนรู้ประสบการณ์ดังกล่าวด้วยตัวเอง ตามคำแนะนำของ ดร.เดวิดสัน แล้วพบว่างานเคร่งเครียดมีแรงกดดันสูง ทำให้เกิดการมึนงง เฉย เฉื่อยชาไปเลย จึงได้ทดลองทำ "สมาธิ" ตามคำแนะนำของ ดร.เดวิดสัน

ในระยะหนึ่ง ไม่เพียงศาสตราจารย์จาจะสามารถเพิ่มการตื่นตัว ความฉับไวของสมองได้มากขึ้นเท่านั้น จากการตรวจสอบยังพบสมองของตนเองมีการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้าในรูปแบบที่เป็นทางบวกเพิ่มมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน อาการเครียดที่เกิดขึ้น ลดระดับลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ศาสตราจารย์รายนี้หันมาศึกษาเพิ่มเติมทางประสาทวิทยาในที่สุด

ดร.เดวิดสันยังได้ทดลองในพระภิกษุสงฆ์ ที่ผ่านการบวชเรียน ฝึกจิต บำเพ็ญภาวนามาแล้วกลุ่มหนึ่ง พบว่าระดับการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมสมองขึ้นอยู่กับระดับของการฝึกฝนของพระสงฆ์แต่ละรูป และความต่างในแต่ละรูปที่ได้ และสามารถบ่งชี้ได้ชัดถึงการเชื่อมโยงระหว่างการทำ "สมาธิ" กับระดับของ "ขันติ ความอดทน อดกลั้น" ที่คนเรามีต่อปัญหา และความเพียรหรือความมานะบากบั่นของแต่ละบุคคล และ ดร.เดวิดสันยังพบว่า การที่คนเราเกิด "ความรู้สึก" ค้างคาใจ เป็นปฏิกิริยาต่อปัญหาหนึ่งปัญหาใดอยู่ยาวนาน แม้ปัญหานั้นจะเกิดขึ้นนานแล้วก็ตาม นั่นเป็นเพราะเนื้อสมองในส่วนที่เรียกว่า อไมกดาลา (Amygdala) ทำงานยืดเยื้อเกี่ยวกับเรื่องนั้นนั่นเอง ดังนั้น การทำสมาธิเพื่อสร้างความตื่นตัวให้กับสมองหรือการเจริญสติ จะช่วยการทำงานของสมองส่วนที่เรียกว่า อไมกดาลา ให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว ยิ่งฝึกฝนเท่าใด การฟื้นฟูสู่สภาพปกติยิ่งเร็วมากขึ้นเท่านั้น

จากอดีตสู่ปัจจุบัน...หากเราย้อนกลับไปทบทวนดู การปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ของ "พระอริยสงฆ์" ของคนไทยระดับเกจิทั้งหลาย ไม่ว่าพระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์มั่น หลวงปู่แหวน ท่านพุทธทาส หลวงตามหาบัว หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" และ "สมเด็จพระวันรัต" วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์และพระคู่สวดของผู้เขียน...

ทั้งหมดนี้ ด้วยอัจฉริยภาพและสงฆ์ปฏิบัติต่างๆ จะสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ ดร.เดวิดสันทุกประการ

ประเด็นสำคัญ "พระอริยสงฆ์" ที่กล่าวนามมาทั้งหมด อายุยืนมากกว่า 80 ปีทั้งสิ้น แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ มีสติ สมาธิ ปัญญาเป็นเลิศ มีความจำชั้นเยี่ยม ไม่มีหลงลืมเลย ดังนั้น อาจพูดหรือกล่าวได้ว่าท่านคือ "ต้นแบบ" ของการ "ออกกำลังสมอง" นั่นก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ท่านทั้งหลายทั่วประเทศหญิง ชาย หากต้องการเป็น "ผู้สูงวัยคุณภาพ" "อยู่อย่างมีคุณค่า" สุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สมอง ปัญญาเยี่ยม นอกจาก "กินปลา" อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งแล้ว ต้อง "ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ" ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ...และที่สำคัญอย่าลืมเป็นอันขาดคือ ออกกำลังกาย "สมอง" เพื่อเพิ่มคุณภาพให้ชีวิตและยังเพิ่ม "คุณค่า" ให้กับสมาชิกใน "ครอบครัว" อีกด้วย...ดีที่สุดต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เยาวชน เลยนะครับ

หน้า 6,มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น