วัดราชบูรณะ ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ ๑๖/๑๖๙ ถ.บรมไตรโลกนารถ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพิษณุโลก บริเวณริมฝั่งแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกเยื้องกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร พิษณุโลก ตรงข้ามกับวัดนางพญา มีแม่น้ำน่านไหลผ่านวัดทางด้านทิศตะวันตก และมีถนนพุทธบูชาผ่านด้านข้าง ทิศเหนือมีถนนมิตรภาพตัดผ่านด้านหน้าวัดราชบูรณะจนต้องรื้อย้ายใบเสมามุมพระอุโบสถด้านทิศตะในออกเฉียงเหนือ
วัดราชบูรณะ ไม่ปรากฏหลักฐานการก่อสร้างว่า เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยใด เสนอ นิลเดช (๒๕๓๒ : ๕๖) ได้เขียนเรื่องวัดราชบูรณะ ไว้ในหนังสือสองแควเมื่อวานพิษณุโลกวันนี้ว่า “วัดราชบูรณะ เป็นวัดเก่าแก่โบราณวัดหนึ่งเข้าใจว่าคงจะมีอายุถึงสมัยสุโขทัยก็อาจจะเป็นได้ วัดแห่งนี้เดิมมีอาณาเขตติดต่อกับวัดนางพญา ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๐๒ กรมทางหลวงได้ตัดถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก คือ ถนมิตรภาพ ถนนสายนี้ได้ตัดผ่านเข้าไปในเนื้อที่วัดนางพญาและวัดราชบูรณะ ถนนมิตรภาพได้ตัดเฉียดพระอุโบสถไปอย่างใกล้ชิด จนต้องรื้อย้ายใบเสมามุมพระอุโบสถด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
วัดราชบูรณะเป็นวัดโบราณสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยก่อนรัชสมัยพระยาลิไท แต่ไม่พบหลักฐานที่ชัดเจน แต่จากการค้นคว้าจากหลักฐานดังต่อไปนี้
ประวัติวัดบนไม้แผ่นป้ายของวัด มีความว่า “วัดราชบูรณะเดิมไม่ปรากฏชื่อ ก่อสร้างมานาน ๑,๐๐๐ ปีเศษ ก่อนที่พระยาลิไทได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ดังนั้นวัดนี้จึงได้ชื่อว่า “วัดราชบูรณะ” รวมความยาวนานถึงปัจจุบันประมาณ ๑,๐๐๐ ปีเศษ
พระยาลิไททรงสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาแล้ว ทองยังเหลืออยู่จึงได้หล่อพระเหลือขึ้น และทรงทอดพระเนตรเห็นว่าวัดนี้ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้บูรณะขึ้นมาอีกครั้งจึงได้นามว่า “ราชบูรณะ”
วัดราชบูรณะมีโบราณสถานที่สำคัญๆ ที่เหลืออยู่คือ อุโบสถ วิหารหลวงและเจดีย์หลวงที่ตั้งอยู่ด้านหลังวิหารหลวง เมื่อพิจารณาตามหลักฐานทางโบราณสถานโบราณวัตถุ คือ พระประธานในอุโบสถ และพระประธานในวิหารหลวงแล้ว เป็นสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย ตอนปลายจึงพอจะสันนิษฐานได้ว่าวัดราชบูรณะ คงจะสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยตอนปลาย ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ พระยาลิไท คงจะทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างหรือบูรณะ ซ่อมแซมครั้งใหญ่จึงได้นามว่าวัดราชบูรณเพราะพระมหาธรรมราชาที่ ๑ พระยาลิไท ได้เสด็จครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ๗ ปี คือ ในระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๐๕ ถึง ปี พ.ศ. ๑๙๑๒ พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุง ซ่อมแซมโบราณสถาน และโบราณวัตถุเมืองในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง สูงที่สุดในกรุงสุโขทัยตอนปลาย วัดราชบูรณะนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างน้อง ๓ สมัย ดังนี้ คือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถซึ่งเสวยราชย์ ณ เมืองพิษณุโลก ๒๕ ปี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๐๖ ถึง พ.ศ. ๒๐๓๑ และรัชมัยพระบาทสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งเสด็จเสวยราชย์ ณ เมืองพิษณุโลก ๒๑ ปี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๙๑ ถึง ปี พ.ศ. ๒๑๑๒ และในรัชสมัยพระบรมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในปี พ.ศ. ๒๒๙๙ ทำให้วัดราชบูรณะมีสภาพที่แข็งแรง มั่นคงมาตลอดกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นสันนิษฐานว่าได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ เพราะได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถแล้วให้ช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่องรามเกียรติ์ และมีการบูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารแล้วให้ช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่องพระพุทธประวัติ
จากหลักฐานหอสมุดแห่งชาติ วัดราชบูรณะนั้นมีชื่อปรากฏในแผนที่เมืองพิษณุโลก ฉบับหอสมุดแห่งชาติปี ร.ศ. ๑๑๑ หรือ ปี พ.ศ. ๒๔๓๕ (อุดม บูรณะเขตต์, ๒๕๓๐ : ๕๕)
จากหลักฐานเมื่อ วันที่ ๑๖ ตุลาคม ร.ศ.๑๒๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จวัดราชบูรณะ เก็บความตามที่ควรกล่าวจากกกพระราชหัตถเลขาที่ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ ๑ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๒๐ (หวน พินธุพันธ์ ๒๕๑๔ : ๖๔ – ๖๕ ) ตอนหนึ่งว่า
“. . . . . . ต่อจากวัดนางพญานั้นลงไปก็ถึงวัดราชบูรณะ ไม่มีบ้านเรือนคั่นวัดมีพระอุโบสถพระวิหารหลวงตั้งอยู่ใกล้พระเจดีย์ อันอยู่ใกล้ถนนริมน้ำ พระเจดีย์องค์นี้ถานเป็นแปดเหลี่ยมใหญ่ แต่ชำรุดมีผู้ไปสร้างพระเจดีย์ไม่สิบสองต่อขึ้นข้างบน ทำนองสร้างพระปรางค์ขึ้นบนเนินพระเจดีย์องค์นี้ ถ้าหากว่าไม่มีรูปแปลก เช่น พระบรมธาตุเมืองชัยนาท ก็จะต้องเลยไปถึงพระเจดีย์มอญ แต่ส่วนพระอุโบสถก็ดี พระวิหารก็ดี เมื่อได้เห็นแห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ก็นับว่าเห็นทั่วทุกแห่งเพราะทำอย่างเดียวกันทั้งสิ้น ตั้งใจจะเอาอย่างพระวิหารวัดมหาธาตุ พระประธานเล่าก็ตั้งใจ เพราะทำอย่างเดียวกันทั้งสิ้น ตั้งใจจะเอาอย่างพระชินราชด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่น่าดู มีธรรมาสน์บุษบกสลักปิดทองอย่างเก่าก็เอาอย่างในวัดมหาธาตุ แต่สู้กันไม่ได้แลออกจะทิ้งให้โทรม มีเสลี่ยงกงอย่างเก่าเหมือนที่ลพบุรีไม่ผิดกันเลย ที่ลพบุรีเขาว่าสำหรับแห่พระราชาคณะ ซึ่งไปอยู่วัดราชบูรณะ เสลี่ยงนี้ก็อยู่วัดราชบูรณะเหมือนกัน. . . . . .”
จากหนังสือจดหมายระยะทางเมืองพิษณุโลกของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ความว่า “.......ออกจากหมู่บ้านก็เข้าหาวัดราษฎร์บูรณะ พอถึงหลังโบสถ์ก็ดูดจี๋ ต้องลงจากม้าเข้าทางหลังโบสถ์ บานประตูสลักลายดอก ๔ กลีบ ฝีมือดีแต่เป็นลายตามธรรมเนียม ผนังในโบสถ์เขียนรามเกียรติ์ แต่ไม่สู้เก่านัก และไม่สู้เป็นนัก มีพระประธานใหญ่แต่ไม่เก่ง มีพระเล็กน้อยมาก เสาและเครื่องบนทาดำทาแดง ปิดทองลายฉลุ แต่ไม่ใช่ลายเก่าเป็นปฏิสังขรณ์ใหม่ แต่ผนังโบสถ์และตัวไม้เครื่องบนเก่า เป็นเครื่องประดุช่อฟ้าปูน ออกจากโบสถ์พระยาเทพาชวนไปดูศาลาการเปรียญ แต่ไปไม่รอด เพราะอ้ายธรรมาสน์นั้นเก่าที่ศาลาข้างโบสถ์มันเหนี่ยวเอาไปดูมัน ธรรมาสน์นั้นเก่ามากทีเดียว ทีก็เป็นซุ้มเกี้ยวยอด พังทิ้งอยู่ข้างล่างเหลือชั้นเดียว ฐานก็แปลกจากที่เคยเห็น คือสิงห์แขวนขานาคต่อ แต่ข้างล่างจะเป็นอย่างไรอีกไม่ทราบ เพราะสูญเสียหมดแล้ว มาแปลกอยู่ที่ไม่มีกระจังบัดตีนยานไอ้หยัก ๆ สำหรับหลังซุ้มประตูแทน เช่นเขียนตัวอย่างไว้ดูนี้ (ทรงวาดรูปประกอบไว้ด้วย) และมีกวางทรงเครื่องหักอยู่ตัวหนึ่งสำหรับเป็นบันไดรองเท้าขึ้นบนธรรมาสน์ ทั้งกวางทั้งธรรมาสน์ลายเก่าเป็นดอกไม้กนกทำนองรุ่นเดียวกับพนักธรรมาสน์ที่เก็บมาแต่วัดในเมืองสมุทรปราการแต่ก่อนนั้น...ดูธรรมาสน์แล้วไปดูการเปรียญ ทีก็เหมือนโบสถ์ เครื่องประดับฝ้าอิฐ แต่ฝ้าก่อทีหลัง เดิมเป็นเสาไม้ เป็นศาลาโถง ฟาเจียนประถมสมโพธิ แต่ไม่เก่าแลไม่เก่ง มีพระงามพอใช้องค์หนึ่ง หน้าตัก สัก ๒ ศอก.........” บัดนี้ ของดีงามในสายพระเนตรของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ยังอยู่ครบบริบูรณ์แต่ทรุดโทรมมาก การบูรณะควรจะยึดของเดิมเป็นหลักเพื่ออนุรักษ์เป็นสิ่งล้ำค่าของวัดต่อไป
จากหลักฐานดังกล่าว ทั้งด้านจารึก และเอกสารนั้น สันนิษฐานได้ว่าวัดราชบูรณะเป็นวัดเก่าโบราณ ซึ่งอาจสร้างขึ้น ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และมีการซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยของพระยาลิไท
ในต้นรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ ๔ ก็ได้มีการซ่อมแซมขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ได้พิจารณาจากลักษณะของจิตรกรรมฝาผนังที่จัดว่าเป็นรูปแบบในสมัยดังกล่าว
วัดราชบูรณะมีอาณาเขตติดต่อกับวัดนางพญา แต่วัดนางพญาไม่มีพระอุโบสถ ทั้งพระอุโบสถวัดราชบูรณะและวิหารวัดนางพญา มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือเศียรนาคที่ชายคาเป็นนาค ๓ เศียร มีลักษณะอ่อนช้อยงดงาม พิจารณาดูตามชื่อแล้ว วัดราชบูรณะน่าจะเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างอาจจะเป็นสมัยเดียวกับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จมาครองเมืองพิษณุโลกทรงบูรณะพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯ สร้างอุโบสถและวิหารวัดจุฬามณี เนื่องจากในรัชกาลนี้ทรงอุปถัมภ์ศาสนามากที่สุดและประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลกเป็นเวลานานถึง ๒๕ ปี
การประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดราชบูรณะไว้เป็นโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๓ ตอน ๓๔ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙
กรมศิลปากรได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ดังนี้ คือ
ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ บูรณะวิหารหลวง
ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ อนุรักษ์ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ
และปี พ.ศ. ๒๕๓๓ บูรณะเจดีย์หลวง โดยเสริมความมั่นคงทางรากฐาน และต่อยอดพระเจดีย์ทรงลังกาซึ่งหักชำรุดหายไปให้บริบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น