พบขนมปังใส่สารกันบูดเกินกำหนดกินมากไตพัง (ไทยโพสต์)
เตือนผู้บริโภคระวังสารกันบูดในขนมปังบรรจุซอง ผลตรวจสอบมีทั้งใส่สารกันบูดเกินมาตรฐาน โดยบางยี่ห้อติดข้อความ "ไม่ใช้วัตถุกันเสีย" มีโทษถึงติดคุก ระบุสารเหล่านี้กินมากเสี่ยงไตพัง
นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้าศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ และนายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน ภายใต้การสนับสนุนของแผนงานอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยผลทดสอบสารกันบูดในขนมปัง-เค้กพร้อมบริโภคจากร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาเก็ต และร้านเบเกอรี่ จำนวน 14 ตัวอย่าง แบ่งเป็นตัวอย่างที่มีฉลากกำกับว่า "ใช้วัตถุกันเสีย" 8 ตัวอย่าง ตัวอย่างที่ระบุว่า "ไม่ใช้วัตถุกันเสีย" 1 ตัวอย่าง และตัวอย่างที่ฉลากไม่ระบุว่าใช้วัตถุกันเสียหรือไม่ 5 ตัวอย่าง แล้วส่งทดสอบกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 อุบลราชธานี เพื่อหาสารกันบูดที่อุตสาหกรรมอาหารนิยมใช้ 3 ชนิด ได้แก่ กรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) กรดซอร์บิก (Sorbic Acid) และกรดโปรปิโอนิก (Propionic Acid)
ผลการทดสอบพบว่า 1 ใน 3 (5 ตัวอย่าง) มีสารกันบูดเกินค่ามาตรฐาน ทั้งค่ามาตรฐานอาหารของไทยและค่ามาตรฐานอาหารสากล ได้แก่ ขนมปังไส้ถั่วแดง Tesco the Bakery ที่ปริมาณรวม 1,656 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เค้กโรลวนิลา sun merry ที่ปริมาณ 1,583 มก./กก. ขนมปังแซนด์วิช Tesco ที่ปริมาณรวม 1,279 มก./กก. ขนมปังไส้เผือก เอพลัส ที่ปริมาณรวม 1,274 มก./กก. และขนมปังไส้กรอกคู่ เบเกอร์แลนด์ ที่ปริมาณรวม 1,195 มก./กก. อีกทั้งยังพบว่าหนึ่งในตัวอย่างที่พบสารกันบูดเกินค่ามาตรฐาน (ขนมปังแซนด์วิชตราเทสโก้) มีการแสดงฉลากลวง โดยอ้างว่า "ไม่ใช้วัตถุกันเสีย" บนฉลาก
นายพชร กล่าวว่า ตัวอย่างเกือบทั้งหมดที่พบสารกันบูดเกินค่ามาตรฐาน เข้าข่ายการกระทำความผิด พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25 (3) เรื่องอาหารผิดมาตรฐาน มีบทลงโทษตามมาตรา 60 คือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท ขณะที่มีหนึ่งตัวอย่างคือ ขนมปังแซนด์วิช Tesco ที่เข้าข่ายการกระทำผิดมาตรา 25 (2) เรื่องอาหารปลอม มีบทลงโทษตามมาตรา 59 คือ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5 พันบาทถึง 1 แสนบาท
นายพชร ตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่ของสินค้าที่นำมาทดสอบเป็นตัวอย่างที่ระบุบนฉลากว่า "ใช้วัตถุกันเสีย" และเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมาย อย. และเครื่องหมายรับรองคุณภาพ ซึ่งควรเป็นไปตามมาตรฐาน แต่ก็พบว่ามีถึง 3 ตัวอย่าง (จาก 8 ตัวอย่าง) ที่พบสารกันบูดเกินค่ามาตรฐาน อีกทั้งยังพบการใช้สารกันบูดหลายชนิดร่วมกันอีกหลายตัวอย่าง ซึ่งมีทั้งเป็นไปตามมาตรฐานและสูงกว่าค่ามาตรฐาน
"อย.ควรมีการทบทวนเรื่องการออกใบอนุญาต และต่ออายุใบอนุญาต โดยนำข้อมูลการกระทำความผิดมาประกอบการพิจารณา สำหรับการแสดงข้อมูลบนฉลากอาจจะมีการใช้วิธีการเดียวกับวัตถุปรุงแต่งรสอาหาร คือกำหนดให้ระบุว่า "ใช้...เป็นวัตถุกันเสีย" บนส่วนประกอบเพื่อแสดงความโปร่งใส และเป็นการให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาให้กับผู้บริโภค อีกทั้งควรดำเนินการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการกลุ่มนี้เกี่ยวกับการใช้วัตถุกันเสียอย่างถูกต้องและเหมาะสม"
ขณะที่ นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้าศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ให้ข้อมูลว่า วัตถุกันเสียที่ทดสอบเป็นสารเคมีที่อุตสาหกรรมนิยมใช้ แต่ละตัวมีหน้าที่ในการยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ในอาหารแต่มีฤทธิ์ต่างกัน บางตัวเหมาะสมกับการยับยั้งแบคทีเรีย บางตัวเหมาะกับการยับยั้งเชื้อรา การใช้ให้เหมาะสมถูกต้องกับวัตถุประสงค์ จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อจัดลำดับโดยความเป็นพิษต่อร่างกาย กรดเบนโซอิกจะมีความเป็นพิษสูงสุด ตามมาด้วยกรดซอร์บิก และกรดโปรปิโอนิก ซึ่งแม้ว่าร่างกายจะสามารถขับถ่ายสารเคมีทั้ง 3 ตัวออกได้เองเมื่อมีการบริโภค แต่หากมีการรับประทานเข้าไปในปริมาณที่เกินกว่าค่าสูงสุดที่ร่างกายสามารถรับได้ต่อวัน (ADI) อย่างต่อเนื่อง จะก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน และอาจนำมาซึ่งการเพิ่มความเสี่ยงของโรคไตอันเนื่องมาจากการที่ไตต้องทำงานหนักต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานได้
นางสาวทัศนีย์ กล่าวว่า การซื้อขนมอบ (เบเกอรี่) จากระบบอุตสาหกรรม จะมีความเสี่ยงจากการใช้สารกันบูดสูงกว่าการซื้อจากร้านเบเกอรี่แบบทำวันต่อวัน ดังนั้นการเลือกซื้อเบเกอรี่พร้อมบริโภคให้เลือกซื้อจากร้านเบเกอรี่ที่ทำสดวันต่อวัน จะดีกว่าเลือกซื้อเบเกอรี่ที่อยู่ในซอง หรือถ้ายังชื่นชอบความสะดวกของเบเกอรี่แบบซอง (เพราะหาร้านง่ายกว่า) ให้สังเกตคำว่า "ไม่ใช้วัตถุกันเสีย" บนฉลากตรงส่วนประกอบ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้บริโภคผลิตภัณฑ์กลุ่มขนมอบต่อเนื่องกันเป็นประจำทุกวัน เพราะนอกจากจะมีความเสี่ยงเรื่องสารกันบูดแล้วยังมีความเสี่ยงจากโซเดียม ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลัก (ผงฟู) อันอาจนำมาซึ่งโรคไตได้อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น