บางคนอาจไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก สำหรับการตัดสินใจยุบเวทีปราศรัยห้าแยกลาดพร้าวและเวทีปราศรัยอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปรวมกับเวทีปราศรัยแยกศาลาแดง เพราะเชื่อแต่แรกแล้วว่า ที่สุดแล้วก็ต้องมีวันนี้
สุเทพ
เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ให้เหตุผลว่า
เพื่อให้การดูแลความปลอดภัยทำได้สะดวกมากขึ้น เพราะจากการประเมินของแกนนำเห็นว่า
มีความตั้งใจจะใช้ความรุนแรงกับประชาชน และการข่าวของพวกเขาก็ทราบมาว่าหลังวันที่ 3
กุมภาพันธ์ จะมีการใช้ความรุนแรงมากขึ้น จึงต้องยุบ 2 เวทีดังกล่าว
ที่ถูกกระทำความรุนแรงมาตลอด ส่วนเวทีปราศรัยแจ้งวัฒนะจะยุบหรือไม่นั้น
ต้องให้หลวงปู่พุทธะอิสระ แกนนำเวที ตัดสินใจ
สรุปก็คือ คนน้อย อันตราย เพราะถูกก่อกวนจากฝ่ายตรงกันข้าม แถมแต่ละเวทีก็ใช้งบเยอะในการบริหารจัดการฟังแล้วก็ดูจะมีเหตุมีผลดีอยู่ แต่เบื้องลึก "เกมใหญ่" ที่เขาเล่นกันนั้นมีสัญญาณบางอย่างที่น่าจะมีมากกว่า "คนน้อย อันตราย งบหมด" เหตุปะทะกันระหว่างการ์ดของกลุ่ม กปปส.สายหลวงปู่พุทธะอิสระ กับกลุ่มโกตี๋ ที่แยกหลักสี่ คือเหตุการณ์ที่ต้องนำมาดูรายละเอียด ภาพที่สื่อออกไปทั่วโลกนั้นชัดเจนว่า มีการใช้อาวุธสงครามเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่า ยังไม่มีผู้เสียชีวิตเท่านั้น
ที่ผ่านมาการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.อยู่ในกรอบของกฎหมายมาโดยตลอด แม้ว่าจะถูกกระทำด้วยความรุนแรงในหลายต่อหลายครั้ง ทั้งปาระเบิดใส่ ทั้งยิงเอ็ม 79 ถล่ม ปาประทัดยักษ์ รวมทั้งยิงใส่ซึ่งหน้า แต่การตอบโต้ของ กปปส.ก็เพียงแค่จับกุมตัว อาจจะมีตุ้บตั้บบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเอาชีวิ ขณะเดียวกันก็ยืนยันมาโดยตลอดว่า การชุมนุมของ กปปส.นั้นเป็นไปด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธ ซึ่งศาลอาญาก็เห็นเช่นนั้น ทำให้หลายครั้งที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องผิดหวังไปหลายหน เพราะไม่สามารถออกหมายจับแกนนำผู้ชุมนุมได้ แต่เหตุการณ์ปะทะกันที่แยกหลักสี่นั้นกลายเป็นคำถามว่า ใช่ปราศจากอาวุธหรือไม่ ?
ถึงแม้จะมีความชอบธรรมในการป้องกันตนเอง เพราะถูกก่อกวนด้วยวิธีรุนแรง สุ่มเสี่ยงต่อความเสียหาย เสียชีวิตหลายต่อหลายหน แต่นั่นเป็นเหตุที่เพียงแค่ "อาจจะ" เกิดขึ้น ที่อาจจะต้องตีความกันใหม่สำหรับ รัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ที่ให้สิทธิในการชุมนุม ว่าในวันนี้จะยังคุ้มครองการชุมนุมอยู่หรือไม่ ?
แล้วก็เป็นคำตอบหรือไม่ว่า นี่ใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องรีบตัดสินใจยุบเวทีปราศรัย เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุปะทะกันซ้ำสอง อันจะกลายเป็นเหตุผลให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำไปอ้างต่อศาลอีกครั้ง
น่าสนใจก็ตรงที่อาวุธปืนสงคราม และผู้ที่ใช้ในที่เกิดเหตุนั้นดูเหมือนจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งตัวอาวุธ วิธีใช้ ตลอดจนถึงท่าทางในการยิง ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเมื่อได้เห็นภาพแล้วก็อดจะฟันธงไม่ได้ว่าเป็น "เจ้าหน้าที่" แน่ๆ เพียงแต่จะเป็นฝ่ายไหนเท่านั้น
ก็สอดรับกับ "เกมใหญ่" ที่มองว่า หากจะให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ สิ่งแรกก็คือ ต้องให้คนสองฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกันก่อน โดยอาจจะต้องมี "คนกลาง" มาเป็นผู้กำหนดกติกาให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับ
แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ก็ต้องยอมรับว่า หลักการนี้ทั่วโลกเขาต้องจัดการให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่า ต่างก็ไม่ได้เหนือไปกว่าอีกฝ่าย และไม่ได้เหนือไปกว่าฝ่ายคนกลาง
แต่หากฝ่ายหนึ่งคิดว่าถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่าย ก็ย่อมปฏิเสธ "ข้อเสนอ-เงื่อนไข" หรือแม้แต่ "คำขอร้อง" จากอีกฝ่าย ตราบใดที่ฝ่ายที่เชื่อว่า อ่อนด้อยกว่านั้น ยังไม่แสดงท่าที "ศิโรราบ"
เช่นเดียวกับการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ในขณะนี้ ที่ยังยืนกรานว่า รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปการเมืองโดยการตั้งสภาประชาชน ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลนั้นถือว่าได้ผ่านการเลือกตั้งสมใจแล้ว ก็ยังเชื่อมั่นว่า แม้จะรักษาการ แต่ก็มีอำนาจได้เท่าที่กฎหมายอนุญาต แถมยังสั่งการไปยังข้าราชการได้ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีใครยอมกลับมาอยู่ในจุดที่นำไปสู่ความสงบกันอีก
แต่หากวันใดที่แกนนำ กปปส.ถูกออกหมายจับ ก็น่าเชื่อว่า "น้ำหนัก" ในการพูดคุยจะเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ที่มีคิวยาวเหยียดจากองค์กรอิสระ แต่ดูตารางวัน-เวลาแล้ว น่าจะเริ่มในเร็ววันนี้
หากเป็นเช่นนั้นจริง แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็น่าจะมีอยู่จริง เพียงแต่จะทันได้เห็นก่อนความรุนแรง-ความสูญเสียครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นหรือไม่เท่านั้น
สรุปก็คือ คนน้อย อันตราย เพราะถูกก่อกวนจากฝ่ายตรงกันข้าม แถมแต่ละเวทีก็ใช้งบเยอะในการบริหารจัดการฟังแล้วก็ดูจะมีเหตุมีผลดีอยู่ แต่เบื้องลึก "เกมใหญ่" ที่เขาเล่นกันนั้นมีสัญญาณบางอย่างที่น่าจะมีมากกว่า "คนน้อย อันตราย งบหมด" เหตุปะทะกันระหว่างการ์ดของกลุ่ม กปปส.สายหลวงปู่พุทธะอิสระ กับกลุ่มโกตี๋ ที่แยกหลักสี่ คือเหตุการณ์ที่ต้องนำมาดูรายละเอียด ภาพที่สื่อออกไปทั่วโลกนั้นชัดเจนว่า มีการใช้อาวุธสงครามเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่า ยังไม่มีผู้เสียชีวิตเท่านั้น
ที่ผ่านมาการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.อยู่ในกรอบของกฎหมายมาโดยตลอด แม้ว่าจะถูกกระทำด้วยความรุนแรงในหลายต่อหลายครั้ง ทั้งปาระเบิดใส่ ทั้งยิงเอ็ม 79 ถล่ม ปาประทัดยักษ์ รวมทั้งยิงใส่ซึ่งหน้า แต่การตอบโต้ของ กปปส.ก็เพียงแค่จับกุมตัว อาจจะมีตุ้บตั้บบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเอาชีวิ ขณะเดียวกันก็ยืนยันมาโดยตลอดว่า การชุมนุมของ กปปส.นั้นเป็นไปด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธ ซึ่งศาลอาญาก็เห็นเช่นนั้น ทำให้หลายครั้งที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องผิดหวังไปหลายหน เพราะไม่สามารถออกหมายจับแกนนำผู้ชุมนุมได้ แต่เหตุการณ์ปะทะกันที่แยกหลักสี่นั้นกลายเป็นคำถามว่า ใช่ปราศจากอาวุธหรือไม่ ?
ถึงแม้จะมีความชอบธรรมในการป้องกันตนเอง เพราะถูกก่อกวนด้วยวิธีรุนแรง สุ่มเสี่ยงต่อความเสียหาย เสียชีวิตหลายต่อหลายหน แต่นั่นเป็นเหตุที่เพียงแค่ "อาจจะ" เกิดขึ้น ที่อาจจะต้องตีความกันใหม่สำหรับ รัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ที่ให้สิทธิในการชุมนุม ว่าในวันนี้จะยังคุ้มครองการชุมนุมอยู่หรือไม่ ?
แล้วก็เป็นคำตอบหรือไม่ว่า นี่ใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องรีบตัดสินใจยุบเวทีปราศรัย เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุปะทะกันซ้ำสอง อันจะกลายเป็นเหตุผลให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำไปอ้างต่อศาลอีกครั้ง
น่าสนใจก็ตรงที่อาวุธปืนสงคราม และผู้ที่ใช้ในที่เกิดเหตุนั้นดูเหมือนจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งตัวอาวุธ วิธีใช้ ตลอดจนถึงท่าทางในการยิง ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเมื่อได้เห็นภาพแล้วก็อดจะฟันธงไม่ได้ว่าเป็น "เจ้าหน้าที่" แน่ๆ เพียงแต่จะเป็นฝ่ายไหนเท่านั้น
ก็สอดรับกับ "เกมใหญ่" ที่มองว่า หากจะให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ สิ่งแรกก็คือ ต้องให้คนสองฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกันก่อน โดยอาจจะต้องมี "คนกลาง" มาเป็นผู้กำหนดกติกาให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับ
แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ก็ต้องยอมรับว่า หลักการนี้ทั่วโลกเขาต้องจัดการให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่า ต่างก็ไม่ได้เหนือไปกว่าอีกฝ่าย และไม่ได้เหนือไปกว่าฝ่ายคนกลาง
แต่หากฝ่ายหนึ่งคิดว่าถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่าย ก็ย่อมปฏิเสธ "ข้อเสนอ-เงื่อนไข" หรือแม้แต่ "คำขอร้อง" จากอีกฝ่าย ตราบใดที่ฝ่ายที่เชื่อว่า อ่อนด้อยกว่านั้น ยังไม่แสดงท่าที "ศิโรราบ"
เช่นเดียวกับการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ในขณะนี้ ที่ยังยืนกรานว่า รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปการเมืองโดยการตั้งสภาประชาชน ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลนั้นถือว่าได้ผ่านการเลือกตั้งสมใจแล้ว ก็ยังเชื่อมั่นว่า แม้จะรักษาการ แต่ก็มีอำนาจได้เท่าที่กฎหมายอนุญาต แถมยังสั่งการไปยังข้าราชการได้ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีใครยอมกลับมาอยู่ในจุดที่นำไปสู่ความสงบกันอีก
แต่หากวันใดที่แกนนำ กปปส.ถูกออกหมายจับ ก็น่าเชื่อว่า "น้ำหนัก" ในการพูดคุยจะเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ที่มีคิวยาวเหยียดจากองค์กรอิสระ แต่ดูตารางวัน-เวลาแล้ว น่าจะเริ่มในเร็ววันนี้
หากเป็นเช่นนั้นจริง แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็น่าจะมีอยู่จริง เพียงแต่จะทันได้เห็นก่อนความรุนแรง-ความสูญเสียครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นหรือไม่เท่านั้น
.................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น